บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) และโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถรายใหญ่สุดในสหรัฐ คาดว่า ยอดขายของบริษัทในไตรมาส 4 อาจจะสูงขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะได้ยกเลิกโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ ซึ่งทำให้ยอดขายรถในเดือนก.ย.ย่ำแย่ที่สุดเป็นเดือนที่ 2 แล้วในปีนี้
บลูมเบิร์กรายงานว่า ยอดขายรถในสหรัฐร่วงลงไป 23% หลังจากที่โครงการให้เงินอุดหนุนของรัฐบาลสิ้นสุดลง โดยการใช้มาตรการดังกล่าวช่วยกระตุ้นดีมานด์รถในเดือนก.ค.และส.ค. ขณะที่ยอดขายรถยนต์และรถบรรทุกในไตรมาส 3 นั้น ดีดตัวมาอยู่ที่ 11.5 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นยอดขายที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 1 ปี
เจฟ ชุสเตอร์ นักวิเคราะห์ของเจ.ดี. พาวเวอร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ กล่าวว่า เราได้เดินมาถึงทางแยกแล้ว ทางแยกที่การฟื้นตัวของตลาดเริ่มที่จะชะลอตัวลงจากระดับปีที่แล้ว และตอนนี้เราอยู่ในช่วงขาขึ้นแล้ว แต่ก็คงจะเป็นช่วงขาขึ้นที่ขึ้นไปอย่างช้าๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายไตรมาส 4 ปีที่แล้ว และเศรษฐกิจสหรัฐที่มีเสถียรภาพมากขึ้นช่วยให้แนวโน้มของยอดขายจีเอ็มและโตโยต้าดีขึ้น โดยยอดขายเมื่อเดือนที่แล้วอยู่ที่ 9.22 ล้านคัน เมื่อเปรียบเทียบกับยอดการประเมินโดยเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ที่บลูมเบิร์กได้สำรวจความคิดเห็นและคาดว่า จะอยู่ที่ 9.3 ล้านคัน
ไมค์ ดิจิโอวานนี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดโลกของจีเอ็ม กล่าวว่า การให้เงินอุดหนุนในโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ถึง 4,500 ดอลลาร์นั้น สามารถทำยอดขายได้ถึงเกือบ 7 แสนคัน และเมื่อโครงการดังกล่าวสิ้นสุดลง ตลาดรถใหม่ก็กลับมาอยู่ระดับเดิมที่ใกล้เคียงกับดีมานด์รายเดือนที่อยู่ในระดับต่ำกว่า
ชุสเตอร์กล่าวว่า ยอดขายรถในสหรัฐไตรมาส 4 อาจจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกันกับเมื่อปีที่แล้ว หรือ 10.5 ล้านคัน และระดับการเติบโตของยอดขายในไตรมาสแรกและไตรมาส 2 ของรถขนาดเล็กอยู่ที่ประมาณ 9.6 ล้านคัน
บ็อบ คาร์เตอร์ รองประธานฝ่ายขายของโตโยต้า ซิตี้ กล่าวว่า โตโยต้าคาดว่า อัตรายอดขายไตรมาสนี้จะอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 10 ล้านคัน