รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)เปิดเผยว่า ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ก.ย.52)มียอดรวม 810 ราย ลดลง 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 922 ราย ขณะที่เงินลงทุน 3.02 แสนล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีเงินลงทุน 3.32 แสนล้านบาท
ด้านเงินทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 5.72 หมื่นล้านบาท ลดลงจาก 6.26 หมื่นล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยทุนจดทะเบียนต่างชาติลดมาที่ 2.03 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 3.75 หมื่นล้านบาท แต่ทุนจดทะเบียนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 3.69 หมื่นล้านบาท จาก 2.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่การจ้างงานลดลงถึง 32% โดยในช่วง ม.ค.-ก.ย.52 เหลือเพียง 91,001 คน จาก 133,523 คนในช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับประเทศที่ยื่นขอรับโครงการลงทุนสูงสุด คือ ญี่ปุ่น 180 ราย รองลงมาเป็น ยุโรป, อเมริกา, สิงคโปร์, ไต้หวัน และฮ่องกง
ประเภทธุรกิจที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ ธุรกิจบริการและสาธารณูปโภค 281 โครงการ รองลงมา คือ ธุรกิจด้านอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ธุรกิจด้านเกษตรกรรมและผลผลิตจากการเกษตร แต่หากพิจารณาจากมูลค่าเงินลงทุนแล้ว พบว่า ธุรกิจบริการและสาธารณูปโภค มีเงินลงทุนสูงสุด 1.73 แสนล้านบาท รองลงมา คือ ธุรกิจผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง และธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องไฟฟ้า
ส่วนยอดอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ มีทั้งสิ้น 687 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 799 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 1.76 แสนล้านบาท และมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 2.34 หมื่นล้านบาท