ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆของโลกในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (9 ต.ค.) หลังจากที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณถึงการใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงิน ซึ่งรวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทันทีที่เศรษฐกิจฟื้นตัว
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้น 0.48% เมื่อเทียบกับเงินยูโรที่ 1.4789 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับ 1.4718 ยูโร/ดอลลาร์ และแข็งค่าขึ้น 1.57% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 89.800 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 88.410 เยน/ดอลลาร์ นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังแข็งค่าขึ้น 0.58% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0315 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0256 ฟรังค์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.25% แตะที่ 0.9037 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.9060 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ลดลง 0.97% แตะที่ 0.7348 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.7420 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
เบอร์นันเก้กล่าวว่า "เราเชื่อว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะขยายระยะเวลาในการใช้นโยบายผ่อนปรนด้านการเงินออกไปอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง เราก็จำเป็นต้องนำนโยบายคุมเข้มด้านการเงินกลับมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเงินเฟ้อเข้ามาขัดขวางการขยายตัวทางเศรษฐกิจ"
ถ้อยแถลงของเบอร์นันเก้ได้หนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในการซื้อขายเมื่อวานนี้ หลังจากที่เคยอ่อนค่าลงในช่วงก่อนหน้าเพราะนักลงทุนคาดว่าเฟดจะยังตรึงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำกว่าประเทศอื่นๆ
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังแข็งค่าขึ้นจากปัจจัยหนุนของการเปิดเผยยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐที่ปรับตัวลดลงสวนกระแสคาดการณ์ โดยกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐในเดือนส.ค.ลดลงมาอยู่ที่ 3.07 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 3.19 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. โดยยอดส่งออกในเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 0.2% ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 0.6%