นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาส 4/52 คาดว่าความต้องการสินเชื่อในระบบจะมีมากขึ้น เป็นผลจากความต้องการสินเชื่อตามฤดูกาลทั้งภาคการท่องเที่ยว, การส่งออก, พืชผลการเกษตร และธุรกิจก่อสร้าง ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นตามความต้องการ แต่ทั้งนี้มองว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงยังไม่ปรับขึ้น และน่าจะยังทรงตัวในระดับเดิมต่อไป
ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากมีโอกาสจะปรับขึ้นได้หากสภาพคล่องของธนาคารลดลง ซึ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์จะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อเสริมสภาพคล่อง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจของธนาคารแต่ละแห่ง อย่างไรก็ตามความต้องการสินเชื่อที่มากขึ้นมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในระดับปัจจุบันที่ 1.25% นั้น ถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดในภูมิภาค และอัตราดอกเบี้ยในระดับดังกล่าวไม่ได้เป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
"ตอนนี้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากสะท้อนเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่หากแบงก์พาณิชย์ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อเสริมสภาพคล่อง ก็จะทำให้เสปรดแคบลงอีก แต่การขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากไม่ได้เป็นทั้งระบบ ขึ้นอยู่กับการดำเนินธุรกิจของแบงก์แต่ละแห่งมากกว่า" นายบัณฑิต กล่าว
สำหรับยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ของระบบธนาคารพาณิชย์นั้น พบว่าช่วงหลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ NPL ไม่ได้สูงขึ้นมาก เนื่องจากธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งมีระบบบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อ และมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี