นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์จะใช้ 3 ยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อเพิ่มปริมาณและมูลค่าการส่งออกด้วยอัตราเร่ง โดยตั้งเป้ามูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในปี 53 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10%
ยุทธศาสตร์ดังกล่าว ประกอบด้วย การใช้ยุทธศาสตร์ Local to Global เพื่อผลักดันการส่งออกสินค้าท้องถิ่นจากภูมิภาคของไทยสู่ตลาดสากล, การจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจการพาณิชย์เพื่อศึกษาวิเคราะห์และจัดทำข้อมูลตลาดเชิงลึกทั้งรายประเทศและรายสินค้า และ การจัดตั้งสถาบันส่งเสริมธุรกิจบริการแห่งชาติเพื่อผลักดันธุรกิจบริการอย่างเป็นรูปธรรม
ขณะที่นายเจน นำชัยศิริ รองเลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)กล่าวว่า อยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลปัญหามาตรการกีดกันทางการค้าที่หลายประเทศจะนำมาใช้ในช่วง 1-2 ปีจากนี้ไป โดยเฉพาะมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด(เอดี)
นายเจน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ภาครัฐเคยมีกองทุนช่วยเหลือกรณีเอกชนถูกมาตรการเอดีจากประเทศคู่ค้าเฉลี่ยคดีละ 5 แสนบาท แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้วทั้งที่สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศต้องเผชิญความเสี่ยงการถูกฟ้องร้องสูง โดยประเทศที่มีแนวโน้มใช้มาตรการเอดีมากขึ้น ได้แก่ สหรัฐ สหภาพยุโรป(อียู) จีน และอินเดีย เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายใน โดยล่าสุดไทยถูกอินเดียฟ้องเก็บภาษีเอดีรายการสินค้าใยสังเคราะห์แล้ว
ด้านนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิพล รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า ปัจจุบันมีเอกชนถูกฟ้องร้องเรื่องเอดีแล้วไม่ต่ำกว่า 100 คดี บางคดีต้องใช้เงินมากถึง 11 ล้านบาท โดยสินค้าที่เสี่ยงจะถูกฟ้องร้องเอดี ได้แก่ เหล็ก อาหาร พลาสติก และ กระจก
สำหรับข้อเสนอของ ส.อ.ท.เพื่อดูแลการส่งออก ได้แก่ การดูแลต้นทุนสินค้าเพื่อให้แข่งขันได้, การดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ รวมถึงการหาตลาดใหม่ที่เหมาะสมกับสินค้าแต่ละรายการ