ศูนย์วิจัยกสิกรฯมองศก.ไทยยังเสี่ยงชะลอตัว/ฟื้นรูป W คาดปี 52 หดตัว 3.5-4.1%

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday October 14, 2009 16:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงฉุดให้กลับมาทรุดตัวลงอย่างรุนแรงนั้นอาจลดน้อยลงในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ แต่ยังคงเผชิญปัจจัยความไม่แน่นอนที่อาจทำให้กลับมาชะลอตัว หรือมีการฟื้นตัวในลักษณะรูปตัว W ได้ โดยต้องยอมรับว่าแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังต้องอาศัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและความสำเร็จของการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นกุญแจสำคัญ

ดังนั้น หากเกิดสถานการณ์ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะประเด็นที่จะกระทบต่อดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็อาจจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจขาดความต่อเนื่องได้

จากการประเมินเครื่องชี้เศรษฐกิจหลายด้าน ที่สะท้อนการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมเศรษฐกิจเกือบทุกด้าน จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 3/52 ที่ปรับฤดูกาลแล้วจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องในอัตราไม่น้อยกว่า 1.1% เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า หลังจากที่เริ่มกลับมาขยายตัวเป็นบวก(เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า)ตั้งแต่ไตรมาส 2/52 ที่ 2.3% แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/52 จะหดตัวไม่เกิน 4.5% ซึ่งเป็นอัตราชะลอลงกว่าไตรมาส 2/52 ที่หดตัว 4.9%

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้มีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาเป็นบวกในระยะ 3 เดือนข้างหน้า (เดือน ก.ย.-พ.ย.52)โดยหากไม่มีเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยลบอื่นนอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สะท้อนผ่านมาจากตัวแปรชี้นำแล้ว ก็คาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/52 น่าจะมีอัตราขยายตัวเป็นบวกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับกรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 52 ให้แคบลงมา โดยคาดว่าจะหดตัว 3.5-4.1% จากประมาณการเดิมหดตัว 3.5-5.0% ส่วนแนวโน้มปี 53 คาดว่าเศรษฐกิจอาจขยายตัวช่วง 2.5-3.5% เนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับ ความเสี่ยงที่ลดลงของเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรง เช่น เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง และการกลับมาแพร่ระบาดรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009

ปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ได้แก่ ความยั่งยืนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยเฉพาะสหรัฐฯ ยูโรโซน ญี่ปุ่น และจีน รวมทั้งความคืบหน้าของแผนกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง ส่วนการขยายตัวของภาคการบริโภคและการลงทุนของเอกชนน่าจะเกิดขึ้นตามมาหลังจากเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คาดว่าการฟื้นตัวของวัฏจักรเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนนั้นอาจจะเห็นได้ชัดเจนก็ต่อเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2-3/53 เนื่องจากโดยปกติแล้วมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนจะเกิดเม็ดเงินหมุนเวียนลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจค่อนข้างช้ากว่ามาตรการกระตุ้นที่เป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง แต่มีข้อดีคือสามารถก่อให้เกิดผลทวีคูณจากการหมุนของเศรษฐกิจหลายรอบ อีกทั้งยังมีผลต่อการพัฒนาศักยภาพของประเทศในอนาคต

สำหรับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ ทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางกระแสความมั่นใจต่อโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น หลังจากประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญประสบปัญหาภัยธรรมชาติรุนแรงในปีนี้ นอกจากนี้ราคาน้ำมันยังมีโอกาสได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองระหว่างประเทศในตะวันออกกลางและคาบสมุทรเกาหลี

สำหรับประเด็นภายในประเทศ ปัจจัยทางการเมืองยังมีประเด็นที่ต้องติดตามหลายเรื่อง ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การตรวจสอบการทุจริตในโครงการสำคัญของรัฐ และความมีเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาล เป็นต้น ส่วนประเด็นอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ แนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และการคลี่คลายปัญหาความไม่ชัดเจนของหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการลงทุนในโครงการที่มีการกำหนดกรอบแนวทางไว้เป็นการเฉพาะตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงการทำความเข้าใจต่อประเด็นดังกล่าวกับนักลงทุน เป็นต้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ