ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 22-23 ก.ย.ซึ่งระบุว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันว่าควรจะขยายหรือระงับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากเฟดประกาศใช้โครงการดังกล่าวเป็นเวลาหลายเดือน ภายใต้เป้าหมายที่จะฉุดอัตราดอกเบี้ยกู้จำนองให้ปรับตัวลดลง ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้ฟิ้นตัวขึ้นอีกทางหนึ่ง โดยคณะกรรมการเฟดบางคนมองว่าเฟดสมควรยุติการใช้โครงการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเนื่องจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจได้บรรเทาลงแล้ว
การประชุมในครั้งนั้น คณะกรรมการเฟดมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0-0.25% เพื่อพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว พร้อมกับยืนยันว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากข้อมูลที่คณะกรรมการเฟดได้รับในช่วงที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังจากทรุดตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงก่อนหน้านั้น ส่วนสภาวะในตลาดการเงินและตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ คณะกรรมการเฟดยังเห็นชอบให้ชะลอการเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกันของหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล รวมถึงแฟนนี เม และเฟรดดี แมค วงเงินรวม 1.25 ล้านล้านดอลลาร์ โดยให้กระบวนการเข้าซื้อดังกล่าวสิ้นสุดลงในไตรมาสแรกของปีพ.ศ.2553 แทนที่จะเป็นช่วงปลายปีนี้ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดเป็นไปอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตาม รายงานการประชุมบันทึกว่า คณะกรรมการเฟดบางคนมองว่าการขยายโครงการเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกันจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น ขณะที่คณะกรรมการเฟดบางคนมองว่าเฟดควรชะลอการเข้าซื้อหลักทรัพย์ประเภทดังกล่าว เนื่องจากมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นแล้ว
คณะกรรมการเฟดส่วนใหญ่เชื่อว่า ภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐจะอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้เนื่องจากอัตราการนำทรัพยากรมาใช้เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งจะช่วยให้สถานการณ์ด้านเงินเฟ้อยังคงมีเสถียรภาพ โดยเฟดยังยืนยันเป้าหมายเดิมคือการใช้เครื่องมือทุกด้านในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว ควบคู่ไปกับการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม เฟดมองว่าแม้ตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเริ่มมีเสถียรภาพ แต่อัตราว่างงานในสหรัฐยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่อัตราการเติบโตของรายได้ก็ชะลอตัว และภาวะสินเชื่อยังคงตึงตัว นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังคงลดการลงทุนและพนักงาน ซึ่งเฟดวิตกกังวลต่อสถานการณ์เหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง