ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (16 ต.ค.) หลังจากที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือนเมื่อเทียบเงินยูโรในช่วงต้นสัปดาห์
โดยเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าแตะ 1.4893 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.4943 ดอลลาร์/ยูโรเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และแข็งค่าแตะ 90.900 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 90.550 เยน/ดอลลาร์
นอกจากนั้นเงินดอลลาร์ยังแข็งค่าแตะ 1.0183 ฟรังก์สวิส/ดอลลาร์ จาก 1.0146 ฟรังก์สวิส/ดอลลาร์ และแข็งค่าแตะ 0.9170 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จาก 0.9209 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย รวมถึงแข็งค่าแตะ 0.7391 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.7443 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงแตะ 1.6355 ดอลลาร์/ปอนด์ จาก 1.6271 ดอลลาร์/ปอนด์
เมื่อวานนี้เจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) และ แบงค์ ออฟ อเมริกา เผยตัวเลขขาดทุนอย่างหนักจากธุรกิจการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณเชิงลบที่แสดงให้เห็นว่าภาคเอกชนและผู้บริโภคยังคงมีหนี้สินและไม่ต้องการใช้จ่ายเกินจำเป็น ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง แต่กลับเป็นผลดีกับเงินดอลลาร์ซึ่งเคลื่อนไหวสวนทางกับตลาดหุ้น
เมื่อวานนี้รัฐบาลสหรัฐเปิดเผยว่าชาวต่างชาติยังคงซื้อสินทรัพย์ด้านการเงินระยะยาวจากสหรัฐในเดือนสิงหาคม ซึ่งการที่ต่างชาติยังต้องการสินทรัพย์ของสหรัฐถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนเงินดอลลาร์ เนื่องจากชาวต่างชาติต้องซื้อเงินดอลลาร์เพื่อนำมาใช้ซื้อสินทรัพย์ในสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนเชื่อว่าชาวต่างชาติอาจไม่ได้ซื้อสินทรัพย์ของสหรัฐอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ขณะเดียวกันกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เผยว่าสัดส่วนของเงินดอลลาร์ในทุนสำรองของไอเอ็มเอฟลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2538