สำนักงานผู้ตรวจการของบรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (Federal Deposit Insurance Corp : FDIC) เปิดเผยว่า FDIC ไม่สามารถใช้กฎข้อบังคับควบคุมการปล่อยเงินกู้เพื่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารอย่างน้อย 20 แห่งในสหรัฐ จนเป็นเหตุให้ธนาคารเหล่านี้ล้มละลายในเวลาต่อมา
สำนักงานผู้ตรวจการของ FDIC ระบุว่า ธนาคารสหรัฐ 23 แห่งที่รัฐบาลเข้าเทคโอเวอร์กิจการในระหว่างเดือนส.ค.2551 - เดือนมี.ค.2552 นั้น มีอยู่ 20 แห่งที่ไม่ได้รับการควบคุมการปล่อยเงินกู้ให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างเหมาะสม โดยมีข้อมูลชี้ชัดว่าธนาคารเหล่านี้ปล่อยเงินกู้สูงจนถึงระดับที่เป็นอันตรายจนเป็นเหตุให้ธนาคารล้มละลายในที่สุด
"เรามักพบรายงานที่บ่งชี้ว่า FDIC ตรวจพบปัญหาที่เกิดขึ้นในกับธนาคารแต่ก็ไม่สามารถใช้กฎข้อบังคับควบคุมปัญหาเหล่านี้ได้ เนื่องจากขั้นตอนการทำงานของ FDIC ช้าเกินไปทำให้แก้ไขปัญหาไม่ทันการ" นายจอห์น ไรเมอร์ เจ้าหน้าที่สำนักงานผู้ตรวจการ FDIC กล่าว
จำนวนธนาคารล้มละลายในสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 98 รายในปีนี้ เนื่องจากภาคการเงินสหรัฐเผชิญวิกฤตการณ์การเงินที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 70 ปี ขณะที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าจำนวนธนาคารล้มละลายจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น ทั้งนี้ FDIC คาดว่าจำนวนธนาคารล้มละลายในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนประกันเงินฝากของ FDIC พุ่งเป็น 1 แสนล้านดอลลาร์ในอีก 4 ปีข้างหน้า และจะทำให้ FDIC ประสบภาวะขาดดุลบัญชีอย่างหนัก ซึ่งขณะนี้ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่ประเมินไว้ในเบื้องต้นที่ 7 หมื่นล้านดอลลาร์
สมาพันธ์นายธนาคารแห่งสหรัฐอเมริกา คาดการณ์ว่า FDIC อาจขึ้นค่าธรรมเนียมพิเศษจากธนาคารพาณิชย์ภายในประเทศอย่างเร็วที่สุดในเร็วๆนี้ เพื่อระดมเงินทุนในบัญชีของ FDIC ให้ได้ 5.6 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากจำนวนธนาคารล้มละลายในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นทำให้เม็ดเงินในบัญชีของ FDIC หดตัวลง
ฟอร์ไซท์ อนาไลติกส์ ระบุว่า ยอดการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2 ของสหรัฐมีอยู่ทั้งสิ้น 1.10 แสนล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นร้อยละ 6 ของจำนวนเงินกู้โดยรวม หรือคิดเป็น 11 เท่าของยอดการผิดนัดชำระหนี้ในไตรมาส 4 ปี 2550 และคาดว่ายอดการผิดนัดชำระหนี้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐจะพุ่งเป็น 1.70 แสนล้านดอลลาร์ภายในปีหน้า บลูมเบิร์กรายงาน