คณะกรรมการกลั่นกรองกฎหมายของคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) เสนอแนะให้รัฐบาลใช้อำนาจทางการบริหารตรากฎหมายส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็น พ.ร.ก.เนื่องจากเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนแทนที่จะเสนอตามขั้นตอนของรัฐสภาเพื่อออกเป็น พ.ร.บ.ซึ่งกินเวลาอย่างน้อยถึง 6 เดือน
"วิปกลั่นกรองกฎหมายได้เห็นพ้องว่า หากรัฐบาลมีความประสงค์จะออกเป็นพระราชกำหนด ซึ่งเป็นอำนาจโดยแท้ของฝ่ายบริหารก็สามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นเรื่องมั่นคงทางเศรษฐกิจและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งรัฐบาลสามารถใช้ทางเลือกโดยออก พระราชกำหนดได้" นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ระบุในเว็บไซต์พรรค ปชป.
เนื่องจากคณะกรรมการกลั่นกรองกฎหมายของวิปรัฐบาลเห็นว่า สภาผู้แทนราษฎรจะปิดประชุมสมัยนิติบัญญัติในวันที่ 28 พ.ย.52 และจะเปิดประชุมสภาฯ อีกครั้งในวันที่ 21 ม.ค.-20 พ.ค.53 แต่การพิจารณาต้องผ่านขั้นตอนทั้ง ส.ส. และ ส.ว.ซึ่งจะกินเวลาอย่างน้อยถึง 6 เดือน
รองโฆษกพรรค ปชป.กล่าวว่า การออกเป็นพระราชกำหนดโดยฝ่ายบริหารจะเป็นการสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุนดีกว่าการแก้ไขระเบียบตามกฎหมาย ซึ่งอาจจะมีความเสี่ยงต่อคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดได้ การออกเป็นพระราชกำหนดจะสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุนและใช้เวลาน้อยกว่า
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังควรเร่งออก พ.ร.บ.เครื่องมือเศรษฐศาสตร์เพื่อการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม โดยจะเป็นการตั้งกองทุนเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย
"น่าเห็นใจผู้ได้รับความเสียหายจากสิ่งแวดล้อม เพราะต้องฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา กว่าจะได้รับเงินชดเชยก็ใช้เวลากว่า 10 ปี ครั้งนี้ผมคิดว่าถ้าจับคู่กันให้เบ็ดเสร็จในเรื่องกฎหมายสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลังควรมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องของการตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากสิ่งแวดล้อมด้วย" นายอรรถวิชช์ กล่าว