ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์ร่วงต่ำสุดในรอบ 14 เดือนเทียบยูโร

ข่าวต่างประเทศ Thursday October 22, 2009 07:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือนเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (21 ต.ค.) เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้นทำให้นักลงทุนเข้าถือครองสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าดอลลาร์ ขณะที่หลายฝ่ายมองว่าสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนแอจะส่งผลให้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆมีราคาแพงขึ้น

บลูมเบิร์กรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.40% เมื่อเทียบกับยูโรที่ระดับ 1.4999 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับของวันอังคารที่ 1.4939 ยูโร/ดอลลาร์ และดิ่งลง 0.54% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0065 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0120 ฟรังค์/ดอลลาร์

นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 1.20% เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่ 1.6582 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับของวันอังคารที่ 1.6386 ปอนด์/ดอลลาร์ แต่ดีดตัวขึ้น 0.22% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 90.870 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 90.670 เยน/ดอลลาร์

ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียขยับขึ้น 0.15% แตะที่ 0.9249 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับของวันพุธที่ 0.9235 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 1.01% แตะที่ 0.7572 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.7496 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์

มาร์ค แซนด์ หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Moody`s Economy.com กล่าวว่า "การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นประโยชน์ต่อบริษัทส่งออกของสหรัฐที่จะสามารถทำกำไรได้มากขึ้นในตลาดต่างประเทศ แต่ในทางกลับกันการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์กำลังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจในยุโรปเพราะจะทำให้สินค้ายุโรปมีราคาแพงขึ้นเมื่อเทียบกับในสหรัฐ"

ปัจจัยที่ทำให้ดอลลาร์สหรัฐดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือนเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรมาจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวขึ้น ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ และการที่ธนาคารกลางสหรัฐคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนลดการถือครองดอลลาร์และเข้าซื้อสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า

"การที่ดอลลาร์สหรัฐดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับยูโรจะยิ่งสร้างกำแพงที่หนาขึ้นให้กับดอลลาร์ และทำให้คณะทำงานของบารัค โอบามา กังวลว่าดอลลาร์ที่อ่อนค่าอาจทำให้จีนซึ่งเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรายใหญ่สุดของสหรัฐ ลดการถือครองสินทรัพย์ในรูปสกุลเงินดอลลาร์" แซนด์กล่าว

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของอังกฤษ (NIESR) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.8% ในปีหน้า และคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะหดตัว 1.1% โดยเศรษฐกิจโลกจะได้รับแรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของเอเชีย รวมถึงจีน โดยคาดว่าตัวเลขจีดีพีจีนจะขยายตัว 8.2% ในปีนี้ และ 9.3% ในปีหน้า



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ