เนสท์เล่ เอสเอ บริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่สุดของโลก เปิดเผยว่า ยอดขายในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ร่วงลง 2.2% เนื่องจากเงินฟรังก์สวิสแข็งค่าและอุปสงค์ที่อ่อนแอกระทบผลการดำเนินงานโดยรวม โดยเฉพาะน้ำดื่มบรรจุขวดที่มียอดขายลดลง
เนสท์เล่ ซึ่งรายงานผลประกอบการเพียง 2 ครั้ง คืองวดครึ่งปีและตลอดทั้งปี กล่าวว่า ยอดขายจนถึงเดือนก.ย.ร่วงลงแตะ 7.95 หมื่นล้านฟรังก์ (7.87 หมื่นล้านดอลลาร์) จากระดับ 8.14 หมื่นล้านฟรังก์ในปีก่อน
การแข็งค่าของเงินฟรังก์เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ อาทิ ยูโร โดยเงินยูโรเทียบฟรังก์ร่วงลงเฉลี่ย 6.1% จากปีก่อน ได้ส่งผลกดดันให้ยอดขายขยายตัวลดลง 5.2% โดยยอดขายในทวีปอเมริกา ซึ่งเป็นภูมิภาคใหญ่สุดของเนสท์เล่ ลดลง 1.7% แตะ 2.34 หมื่นล้านฟรังก์ ขณะที่ยอดขายในยุโรปดิ่งลงถึง 21.3% มาอยู่ที่ 1.65 หมื่นล้านฟรังก์ ส่วนในเอเชียและแอฟริกา ยอดขายร่วงลง 7.9% แตะ 1.17 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ รายได้ 1 ใน 10 ของเนสท์เล่มาจากยอดขายน้ำดื่มบรรจุขวด ซึ่งเนสท์เล่มีอยู่หลายแบรนด์ รวมถึง Perrier, Vittel และ San Pellegrino อย่างไรก็ดี น้ำขวดได้กลายเป็นสินค้าอันดับต้นๆที่ผู้บริโภคเลือกที่จะตัดทิ้ง ท่ามกลางตัวเลขว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในสหรัฐและยุโรป
แอนดรูว์ วูด นักวิเคราะห์จากแซนฟอร์ด ซี. เบิร์นสไตน์ กล่าวก่อนการที่จะมีการเปิดเผยยอดขายว่า น้ำดื่มบรรจุขวดกำลังเผชิญพายุลูกใหญ่อยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ดี ยอดขายที่ไม่รวมความผันผวนของค่าเงิน หรือที่เรียกว่า organic revenue เพิ่มขึ้น 3.6% ในช่วง 9 เดือนแรก
นอกจากนี้ เนสท์เล่ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ยอดนิยมต่างๆ อาทิ Nescafe, Perrier, Jenny Craig และ Haagen Dazs ได้คงแนวโน้มผลการดำเนินงานตลอดปีนี้ไว้เท่าเดิม
สำหรับยอดขายในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มร่วงลง 2.7% แตะ 7.37 หมื่นล้านฟรังก์ ขณะที่ยอดขายในแผนกเภสัชภัณฑ์เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน