นายกุลิศ สมบัติศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ปัญหาการฟื้นฟูกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ได้เป็นกลายเป็นปัญหาในระดับนโยบายที่นายกรัฐมนตรีต้องลงมาดูแลและแก้ไขด้วยตนเอง หลังเกิดปัญหาสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย(สร.รฟท.) หยุดให้บริการเดินรถเส้นทางภาคใต้ ดังนั้นการดำเนินการพลิกฟื้นกิจการของ รฟท. จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะต้องดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการตามมติ ครม.เมื่อ 3 มิ.ย.52 ที่ให้ตั้งบริษัทลูก 2 แห่ง คือ บริษัทเดินรถ และบริษัทบริหารทรัพย์สิน
อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 53 รัฐบาลได้จัดงบประมาณในโครงการลงทุนตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จำนวน 60,000 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ รฟท.ใช้ในการลงทุนพัฒนาและดูแลระบบราง การจัดซื้อหัวรถจักร ขบวนรถในการขนส่งสินค้าและโดยสาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูกิจการ เพื่อการปรับโครงสร้างกิจการของ รฟท. ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังต้องติดตามให้ รฟท.ดำเนินการตามแผนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
"ตอนนี้เรื่องที่ต้องทำคือการติดตามดูว่าวงเงินที่ได้รับ 60,000 ล้านบาทตามงบไทยเข้มแข็ง รฟท.ได้ดำเนินการตามแผนหรือไม่ สคร.จะมีการติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดทุกเดือน...ส่วนปัญหาการฟื้นฟูกิจการเป็นปัญหาระดับชาติไปแล้วเพราะนายกฯ ได้เข้ามาดูแลเอง" นายกุลิศ กล่าว
รองผู้อำนวยการ สคร.กล่าวย้ำว่า แผนการฟื้นฟูกิจการของ รฟท. โดยการตั้งบริษัทลูก 2 แห่งตามมติ ครม.นั้น ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งบริษัทลูกทั้งสองแห่ง รฟท.ยังเป็นผู้ถือหุ้น 100% เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงาน โดยแยกระบบบริการจัดการในการดูแลการเดินรถ การดูแลระบบราง การดูแลทรัพย์สิน