นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 53 กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวไว้ที่ 9.5 ล้านตัน โดยมีแผนผลักดันการส่งออกข้าว โดยกำหนดกลยุทธ์มุ่งรักษาตลาดเดิมที่เป็นลูกค้าประจำ และแสวงหาตลาดข้าวใหม่ที่มีศักยภาพ โดยจะมีการเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(G to G)ที่ไม่ใช่ตลาดของเอกชนกับรัฐบาลหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น ในช่วงต้นฤดูการผลิตประมาณ 950,000 ตันและมีเป้าหมายรวม 1.77 ล้านตัน
นอกจากนี้ จะร่วมมือกับภาคเอกชนในการจัดคณะผู้แทนการค้าภาครัฐและเอกชนเดินทางไปเจรจาและขยายตลาดข้าวไทยโดยเฉพาะตลาดที่เอกชนเข้าไม่ถึง รวมทั้งการเจรจาแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในประเทศต่าง ๆ เช่น ไนจีเรีย, อังโกลา, ลิเบีย เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการส่งออกข้าวของภาคเอกชน ตลอดจนการจัดกิจกรรมเสริมเพื่อประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการส่งออกข้าวไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างตราสินค้าข้าวหอมมะลิไทย(Branding) และการขยายตลาดข้าวที่มีคุณลักษณะพิเศษ เช่น ข้าวอินทรีย์และข้าวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
ในส่วนของภาคเอกชนจะได้รับประโยชน์และการสนับสนุนจากรัฐบาลในการดำเนินการตามมาตรการและแผนผลักดันส่งออกดังกล่าว อาทิ ผู้ส่งออกสามารถซื้อข้าวเปลือกที่รัฐบาลรับซื้อจากมาตรการแทรกแซงเพื่อสีแปรสภาพเป็นข้าวนึ่งสำหรับการส่งออกไปต่างประเทศ และผู้ส่งออกที่มีคำสั่งซื้อข้าวในปริมาณมากหรือผู้ส่งออกที่หาตลาดใหม่ได้สามารถเสนอซื้อข้าวเปลือก/ข้าวสารในสต็อกรัฐบาล โดยอาจจะมีการพิจารณาเกณฑ์ราคาพิเศษเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
รมว.พาณิชย์ กล่าวด้วยว่า ช่วง 4 เดือนข้างหน้า(พ.ย.52-ก.พ.53) เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวเปลือกนาปี ซึ่งจะออกสู่ตลาดในปริมาณมากและอาจทำให้ราคาซื้อขายข้าวเปลือกในตลาดมีราคาตกต่ำ รัฐบาลจึงกำหนดมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพข้าวเปลือก โดยจะเป็นมาตรการเสริมควบคู่ไปกับโครงการประกันรายได้เกษตรกร
การดำเนินการดังกล่าวเพื่อให้ตลาดมีการแข่งขันการรับซื้อข้าวเปลือก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ขายข้าวเปลือกได้ในราคาที่เหมาะสมและมีช่องทางเลือกในการขายข้าวเปลือก รวมทั้งมีอำนาจต่อรองในการขายข้าวเปลือกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะได้ดำเนินตามมติ ครม.ต่อมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกรวม 6 โครงการ
ประกอบด้วย 1.โครงการเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวตามมาตรการรักษาเสถียรภาพข้าวเปลือกนาปี ปี 52/53 2.โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก โดย อคส./อ.ต.ก. 3.โครงการจัดตลาดนัดข้าวเปลือก 4.โครงการรับฝากข้าวเปลือกในยุ้งฉางเกษตรกรเพื่อรอการจำหน่ายปีการผลิต 52/53 ของธกส. 5.โครงการผลักดันการส่งออกในช่วงต้นฤดูปี 53 และ 6.โครงการเสริมสร้างความเข้าใจในมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปี 2552/53
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสั่งการให้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เร่งเสนอข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดของโครงการประกันรายได้โดยเฉพาะข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาลผลิต 52/53 ผ่านวิทยุแห่งประเทศไทยทุกเช้าเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับเกษตรกร หลังจากพบว่ายังมีเกษตรกรเป็นจำนวนมากไม่เข้าใจเรื่องระบบการประกันรายได้ จึงจำเป็นต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้มาก และให้เกษตรกรแน่ใจได้ว่าได้รับเงินจากโครงการนี้แน่นอน
นอกจากนี้ ยังสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดโครงการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโดยเร็วที่สุด หลังจากที่ ครม.ได้อนุมัติมาตรการทั้งหมดไปแล้ว 6 มาตรการและใช้เงินงบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท และยืนยันว่าการเข้าไปรับซื้อข้าวในราคาตลาดหรือราคาอ้างอิงถือเป็นแนวทางรักษาเสถียรภาพราคาที่ถูกต้องแล้ว เพราะหากเข้าไปรับซื้อในราคาที่เกษตรกรต้องการก็ไม่ต่างจากแนวทางที่เคยทำในอดีตที่ถือว่าไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับเกษตรกรอย่างทั่วถึง โดยมาตรการประกันรายได้ของรัฐบาลครั้งนี้จะเป็นมาตรการที่ถาวรโดยไม่มีการยกเลิกแต่อย่างใด