ผลสำรวจของสำนักข่าวบลูมเบิร์กเผยว่า นิวยอร์ก สามารถต้านทานภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งรุนแรงสุดในรอบ 70 ปีได้ และยังครองตำแหน่งศูนย์กลางการเงินโลกต่อไป ตามมาด้วยสิงคโปร์และลอนดอน
โดยผลสำรวจความเห็นของนักลงทุน เทรดเดอร์ และนักวิเคราะห์ซึ่งลงทะเบียนใช้งานระบบ Bloomberg terminal เผยว่า 29% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่านิวยอร์กจะเป็นทำเลทองของบริการด้านการเงินในช่วง 2 ปีต่อจากนี้ ตามมาด้วยสิงคโปร์ที่ 17%, ลอนดอน 16%, เซี่ยงไฮ้ 11% ขณะที่โตเกียวได้เพียง 1% เท่านั้น
"แม้สถานการณ์ปีที่แล้วจะย่ำแย่มาก แต่ผมหวังว่าจะมีการพัฒนาอะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับบริการด้านการเงินในนิวยอร์ก และส่งต่อไปยังทั่วโลก" ปีเตอร์ รัป ผู้ตอบแบบสอบถามจากบริษัทที่ปรึกษา อาร์เทมิส เวลธ์ แอดไวเซอร์ส แอลแอลซี และ โอไรออน แคปิตอล แมเนจเมนท์ แอลแอลซี ในนิวยอร์ก กล่าว
แต่เมื่อถูกถามว่าประเทศใดมีโอกาสทำเงินได้มากที่สุด ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนมากเลือกตลาดเกิดใหม่อย่างจีน บราซิล และอินเดีย พร้อมให้ความเห็นว่าสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ดูมีศักยภาพต่ำกว่าประเทศเกิดใหม่เหล่านั้น
ทั้งนี้ ผลสำรวจที่ออกมาสวนทางกับความวิตกที่เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ซึ่งในตอนนั้นหลายฝ่ายเกรงว่านิวยอร์กจะเสียตำแหน่งศูนย์กลางการเงินโลกให้กับลอนดอน โดยเฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และ ไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีเมืองนิวยอร์ก ถึงขั้นออกมาเตือนในตอนนั้นว่าการที่สหรัฐมีมาตรการคุมเข้มและข้อกำหนดต่างๆ มากเกินไปอาจทำให้บริษัทต่างๆ หันไปลงทุนในอังกฤษแทน