นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการฝ่ายเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารกลางหลายประเทศในโลกเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยปรับไปสู่อัตราดอกเบี้ยปกติมากขึ้นตามการฟิ้นตัวทางของเศรษฐกิจแต่ละประเทศ หลังจากระดับอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมากในช่วงก่อนหน้านี้เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
การประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน(กนง.) ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ระดับเดิมที่ 1.25% ต่อปี เนื่องจากต้องการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไปอีกระยะหนึ่ง
"ธปท.อาจต้องพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยให้ที่เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป หลังได้ปรับประมาณการทางเศรษฐกิจปีหน้าใหม่หลังพบว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น" นายบัณฑิต กล่าว
นายบัณฑิต กล่าวว่า ในแผนพัฒนาทางการเงินฉบับที่ 2 ธปท.และกระทรวงการคลังเน้นให้ประชาชนระดับฐานรากเข้าถึงบริการทางเงินได้มากขึ้น เพราะปัจจุบันประชาชนระดับฐานรากยังเข้าถึงบริการทางการเงินไม่เต็มที่ ธปท.จึงมีแผนส่งเสริมและพัฒนาให้เกิดธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นการให้สินเชื่อวงเงินต่ำกว่า 1 แสนบาทลงมา เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้สภาพคล่องที่มีในระบบธนาคารพาณิชย์ไหลออกสู่ประชาชนฐานรากมากขึ้น โดย ธปท.จะเปิดให้ธนาคารพาณิชย์ไทยหรือผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีความสามารถเฉพาะทางเข้ามาทำธุรกิจดังกล่าวได้ เพราะในต่างประเทศมีตัวอย่างชัดเจนแล้วว่าธุรกิจนี้มีกำไร
แต่ในอดีตสถาบันทางเงินจะมองว่าการให้สินเชื่อรายย่อยมีความเสี่ยงที่จะเกิดเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาข้อกังวลดังกล่าว ธปท.จะให้สถาบันการเงินที่ทำธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ออกไปใช้ความรู้ของประชาชนฐานรากได้ โดยเปิดให้สถาบันการเงินแต่งตั้งผู้แทนระดับท้องถิ่นเข้ามาช่วยคัดเลือกประเมินความเสี่ยงลูกค้าที่ขอสินเชื่อได้ รวมทั้งมีรูปแบบการบริหารงานและดำเนินงานที่มีมาตรฐานใก้ลเคียงมาตรฐานสากล
"ธปท.ประเมินว่า ประชาชนระดับฐานรากมีความต้องการสินเชื่อประมาณ 10% ของจำนวนครัวเรือนและธุรกิจทั้งหมด และยังมั่นใจว่าไมโครไฟแนนซ์จะสามารถนำพาประเทศไปสู่การเติบโตทางการเงินและเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศได้" นายบัณฑิต กล่าว