นักวิเคราะห์คาด FED ตรึงดอกเบี้ยคืนนี้ ขณะส่งสัญญาณศก.ฟื้นตัวหลังอัดฉีดเงิน $1 ล้านล้านเข้าระบบ

ข่าวต่างประเทศ Wednesday November 4, 2009 14:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในย่านวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0-0.25% ในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งจะสิ้นสุดลงในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย และคาดว่าเฟดจะออกแถลงการณ์ที่ระบุว่าการที่เฟดอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสูงระบบมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นโดยไม่ทำให้เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยในระยะนี้

ลอเรนซ์ เมเยอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท แมคโครอิโคโนมิค แอดไวเซอร์ส แอลแอลซี และเคยเป็นผู้ว่าการเฟด คาดว่าคณะกรรมการเฟดจะยังตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับอีกระยะหนึ่ง จนกว่าตลาดแรงงานในสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้น แม้ตัวเลขเศรษฐกิจในสัปดาห์ที่แล้วบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเริ่มดีดตัวขึ้นบ้างแล้วก็ตาม แต่ตัวเลขดังกล่าวยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้เฟดดำเนินการตามออสเตรเลีย นอร์เวย์ และอิสราเอลที่ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

เฟดระบุในรายงานฉบับล่าสุดว่า การฟื้นตัวขึ้นของภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการผลิตเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ในเบื้องต้น ขณะที่ภาวะการลงทุนในหลายภาคส่วนเริ่มมีเสถียรภาพและมีการฟื้นตัวในระดับปานกลางในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากอัตราการลงทุนอ่อนตัวลงอย่างมากในช่วงก่อนหน้านั้น

อย่างไรก็ตาม เฟดระบุว่ายอดขายอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ยังคงซบเซา เนื่องจากมีบริษัทและสถาบันการเงินปิดกิจการจำนวนมาก ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจทำให้กระบวนการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์โดยรวมช้าลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ เฟดยังวิตกกังวลต่อภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน โดยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนก.ย.ของสหรัฐลดลง 263,000 ราย ซึ่งเป็นการปรับตัวลง 21 เดือนติดต่อกัน และร่วงลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 175,000 ราย ขณะที่อัตราการว่างงานพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีที่ 9.8 % เทียบกับระดับ 9.7% ในเดือนส.ค.

นักวิเคราะห์ที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็น คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐ จะร่วงลงอีก 175,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นสถิติที่ร่วงลงรุนแรงสุดนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนต.ค.จะพุ่งขึ้นแตะ 9.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ