ข่าวฮ็อตร้อนฉ่าควันฉุยในสหรัฐวีคนี้ไม่มีอะไรทาบติดข่าวราคาทองคำตลาดนิวยอร์กที่ทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง รวมทั้งความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เพิ่งตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อที่ 0-0.25% เมื่อคืนนี้ และข่าวบริษัท เบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ทุ่มซื้อกิจการบริษัทสร้างทางรถไฟยักษ์ใหญ่ เบอร์ลิงตัน นอร์ทเธิร์น ซานตาเฟ คอร์ป จนนำไปสู่ความเสี่ยงที่เบิร์กเชียร์จะถูกลดอันเครดิต ...ที่พลาดไม่ได้คือข่าวการล้มละลายของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่างซีไอที อีกทั้งข่าว "หญิงเหล็ก" อย่างฮิลลารี คลินตัน ที่เดินทางเยือนตะวันออกกลาง เพื่อสานเจตนารมณ์การเป็น "ญาติดี" กับโลกมุสลิมของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ทิ้งท้ายปลายสัปดาห์ด้วยข่าวดีของนายไมเคิล บลูมเบิร์ก เจ้าของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ที่นั่งแท่นนายกเทศมนตรีนิวยอร์กเป็นสมัยที่ 3
เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0-0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อคืนนี้ พร้อมส่งสัญญาณผ่านแถลงการณ์ว่า จะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฟดประเมินว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดการเงินค่อนข้างทรงตัว และภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวได้ดี ส่วนการใช้จ่ายภาคครัวเรือนปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่อัตราว่างงานภายในประเทศยังคงพุ่งสูงขึ้น รวมทั้งการขยายตัวด้านรายได้ค่อนข้างต่ำ และตลาดสินเชื่อยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว
จากการประเมินภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวเช่นนี้ ทำให้เฟดตัดสินใจลดวงเงินในการเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกันของหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ให้เหลือเพียง 1.75 แสนล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ 2 แสนล้านดอลลาร์
ตลาดหุ้นทั้งในสหรัฐและเอเชียตื่นตระหนกอีกครั้ง ทันทีที่มีข่าวว่า ซีไอที กรุ๊ป อิงค์ (CIT Group Inc) สถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ของสหรัฐที่ดำเนินธุรกิจมานานถึง 101 ปี ได้ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สินจากศาลล้มละลายในเมืองแมนฮัทตัน ตามกฎหมายมาตรา 11 แห่งราชอาณาจักรสหรัฐอเมริกาแล้วในวันนี้ โดยซีไอทีมีภาระหนี้สิน 6.49 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีทรัพย์สิน 7.1 หมื่นล้านดอลล้านดอลลาร์ หลังจากบริษัทขาดสภาพคล่องอย่างหนักและไม่ได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากรัฐบาลสหรัฐ
ที่ผ่านมา ซีไอทีพยายามประคับประคองธุรกิจให้รอดพ้นจากภาวะล้มละลายด้วยการขายสินทรัพย์ พร้อมตั้งเป้าบรรเทาวิกฤตสภาพคล่องด้วยการขอระดมทุนจากผู้ถือหุ้น 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยซีไอทีเคยได้รับเงินช่วยเหลือจากกระทรวงคลัง 2.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา
บริษัท เบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ตัดสินใจซื้อบริษัท เบอร์ลิงตัน นอร์ทเธิร์น ซานตาเฟ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทสร้างทางรถไฟขนาดใหญ่ และเป็นการลงทุนที่บัฟเฟตต์ระบุว่าเขายอม "เทหมดหน้าตัก" เพราะมั่นใจในอนาคตของเศรษฐกิจสหรัฐ
ข่าวการซื้อกิจการเบอร์ลิงตัน นอร์ทเธิร์น ซานตาเฟ สร้างความฮือฮาในตลาดหุ้นนิวยอร์กในวันนั้น เพราะเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ทุ่มซื้อด้วยเงินสดจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาถึง 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 100 ดอลลาร์ต่อหุ้น เพื่อที่จะถือครองหุ้น 77.4% ในเบอร์ลิงตัน นอร์ทเธิร์น ซานตาเฟ ... ที่สำคัญทุกความเคลื่อนไหวของบัฟเฟตต์อยู่ในสายตาของนักลงทุนมาโดยตลอด ในฐานะปราชญ์การลงทุนที่สามารถคาดการณ์ตลาดได้แม่นยำที่สุด ไม่น้อยหน้าบิล กรอสส์ หรือจอร์จ โซรอส
อย่างไรก็ตาม ข่าวล่ามาเร็วระบุว่า การซื้อกิจการเบอร์ลิงตัน นอร์ทเธิร์น ซานตาเฟ อาจทำให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ลดอันดับเครดิตเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ เพราะ S&P มองว่าดีลประวัติศาสตร์ครั้งนี้อาจทำให้สภาพคล่องในอาณาจักรเบิร์คเชียร์ร่อยหรอลง
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศขายทองคำน้ำหนัก 200 เมตริคตันให้ธนาคารกลางอินเดีย มูลค่า 6.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นปริมาณเกือบครึ่งหนึ่งของทองคำที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารไอเอ็มเอฟให้นำออกขายทั้งสิ้น 403.3 ตัน ข่าวดังกล่าว "ปลุกชีพ" นักเก็งกำไรอีกครั้ง และส่งผลให้ราคาทองคำ COMEX ในวันนี้พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง 30.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,084.90 ดอลลาร์/ออนซ์
เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารของไอเอ็มเอฟอนุมัติให้นำทองคำ 403.3 เมตริคตันออกขาย โดยมีเป้าหมายที่จะระดมทุนเพื่อปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มประเทศยากจน ไอเอ็มเอฟซึ่งเป็นผู้ถือครองทองคำรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐและเยอรมนี ประกาศว่าทางองค์กรพร้อมแล้วที่จะขายทองคำโดยตรงให้กับธนาคารกลางต่างๆทั่วโลก
ศาสตราจารย์ นูเรียล รูบินี ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กกล่าวแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม Inside Commodities Conference ที่นิวยอร์กวันนี้ว่า การที่นายจิม โรเจอร์ส เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และเจ้าของบริษัท โรเจอร์ส โฮลดิ้งส์ คาดการณ์ว่าราคาทองคำในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ถือเป็นการคาดการณ์ที่"เพียงแต่ใช้คำพูดอย่างไร้เหตุผล"
"การใช้คำพูดพยากรณ์ว่าราคาทองคำจะพุ่งขึ้นไปแตะ 1,100 ดอลลาร์ หรือ 1,500 ดอลลาร์ หรือ 2,000 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นการพูดที่ไร้สาระมาก ดูตัวอย่างราคาน้ำมันดิบ จะพบว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะชี้ชัดว่าราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นไปยืนเหนือระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล หากวิเคราะห์จากปัจจัยพื้นฐานเรื่องดีมานด์และซัพพลาย เพราะมีการเก็งกำไรในตลาดน้ำมันและอาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาด ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องจำกัดการทำโพสิชั่นในตลาดน้ำมันเพื่อลดความผันผวน เพราะราคาน้ำมันที่เคลื่อนตัวหวือหวาเกินไปจะสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจโลก" ศาสตราจารย์รูบินีกล่าว
ไม่เพียงแต่โรเจอร์สเท่านั้น ก่อนหน้านี้ อารอน สมิธ กรรมการผู้จัดการบริษัท Superfund Financial Singapore Pte คาดการณ์ว่า ราคาทองคำในตลาดโลกอาจพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ในอีก 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากกลุ่มเฮดจ์ฟันด์เข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเหลี่ยงภาวะเงินเฟ้อหลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลในหลายประเทศเตรียมพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้น
ออโต้ ดาต้า คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลและรถบรรทุกขนาดเล็กประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐมีอยู่ทั้งสิ้น 838,000 คัน เพิ่มขึ้น 12% จากเดือนก.ย. ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดรถยนต์ของสหรัฐเริ่มมีเสถียรภาพ และยังบ่งชี้ว่าผู้บริโภคเริ่มหันมาใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ด้วย
บริษัทที่ทำยอดขายรถยนต์สูงสุดในสหรัฐคือ ฮุนได มอเตอร์ ของเกาหลีใต้ โดยมียอดขายพุ่งขึ้น 49% แตะที่ 31,005 คัน เพราะได้แรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ซีดานรุ่นเล็กอย่าง Elantra ที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง ตามด้วย นิสสัน มอเตอร์ ของญี่ปุ่น ที่ทำยอดขายเพิ่มขึ้น 5.6% รองลงมาคือ เจนเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ที่ทำยอดขายเพิ่มขึ้น 4.7% เนื่องจากยอดขายรถปิคอัพรุ่นใหม่ปรับตัวสูงขึ้น และนับเป็นครั้งแรกในรอบ 21 เดือนที่ยอดขายของจีเอ็มเพิ่มขึ้น
นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ เดินทางถึงอียิปต์ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยความหวังที่จะผลักดันให้เกิดความคืบหน้าในกระบวนการสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง ตลอดจนคลี่คลายความกังวลเกี่ยวกับบทบาทของสหรัฐในสายตาของประเทศอาหรับ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เธอได้เข้าพบประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค ของอียิปต์
นักวิเคราะห์ด้านการเมืองของบลูมเบิร์กมองว่า การที่หญิงเหล็กอย่างฮิลลารีเดินทางย้อนมายังอียิปต์ก่อนที่จะเดินทางกลับสหรัฐนั้น สะท้อนให้เห็นถึงการผลักดันของประธานาธิบดีบารัค โอบามาที่ต้องการให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกดดันอิสราเอลและปาเลสไตน์ให้หันหน้ามาเจรจากัน ซึ่งการส่งสัญญาณในเชิงบวกรอบที่สองครั้งนี้มีขึ้นหลังจากโอบามาประสบความสำเร็จจาก "สุนทรพจน์ไคโร" ซึ่งเป็นสุนทรพจน์ครั้งประวัติศาสตร์ที่อียิปต์
ไมเคิล บลูมเบิร์ก เจ้าของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก เตรียมดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนิวยอร์กเป็นสมัยที่ 3 หลังจากที่เอาชนะ วิลเลียม ธอมป์สัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งวันอังคารที่ผ่านมา โดยบลูมเบิร์กได้สิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 หลังจากที่เมื่อปีที่แล้วเขาสามารถโน้มน้าวให้สภาเมืองนิวยอร์กเปลี่ยนแปลงกฎหมายและยกเลิกการจำกัดสิทธิผู้สมัครนายกเทศมนตรีที่แต่เดิมกำหนดให้ดำรงตำแหน่งได้แค่ 2 สมัย สมัยละ 4 ปี
แต่เรื่องดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจให้กับคู่แข่งอย่างนายธอมป์สัน ผู้ตรวจสอบบัญชีของนิวยอร์กวัย 56 ปี ซึ่งยังโจมตีนายบลูมเบิร์กด้วยว่า ใช้จ่ายเงินจำนวนมากในการหาเสียง โดยรายงานระบุว่า นายบลูมเบิร์ก ซึ่งเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในนิวยอร์กและเป็นผู้ก่อตั้งสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้ใช้เงินมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในช่วง 10 วันก่อนการเลือกตั้ง ทำให้เขากลายเป็นผู้สมัครที่ใช้เงินส่วนตัวในการหาเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐมีข่าวดีให้ชื่นใจเข้ามาเป็นระลอก ไม่ว่าจะเป็นดัชนีภาคการผลิตเดือนต.ค.ที่พุ่งขึ้นแตะ 55.7 จุด จากระดับ 52.6 จุดในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไว้ รวมทั้งยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) พุ่งขึ้น 6.1% แตะที่ 110.1 จุด ในเดือนก.ย. และตัวเลขการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 0.8% แตะที่ 9.403 แสนล้านดอลลาร์
แต่นายไมค์ ดิจีโอวานนี นักวิเคราะห์ของจีเอ็มกล่าวว่า "การฟื้นตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคการผลิ และอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐให้ขยายตัวขึ้นก็จริง แต่ภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานของสหรัฐอาจบั่นทอนการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ด้วย
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐ จะร่วงลงอีก 175,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นสถิติที่ร่วงลงรุนแรงสุดนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนต.ค.จะพุ่งขึ้นแตะ 9.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี
.. คอลัมภ์ Hot News In USA จะเกาะติดสถานการณ์ฮ็อตฮิตติดเรทในสหรัฐอเมริกาต่อไป พบกันใหม่คราวหน้า !!