ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าถือครองสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง หลังจากมีกระแสคาดการณ์ว่าอัตราว่างงานประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐจะพุ่งขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินปอนด์หลังจากธนาคารกลางอังกฤษประกาศคงอัตราดอกเบี้ยและเพิ่มวงเงินซื้อสินทรัพย์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้น 0.08% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 90.750 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 90.680 เยน/ดอลลาร์ และขยับขึ้น 0.12% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0160 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0148 ฟรังค์/ดอลลาร์
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังฟื้นตัวขึ้น 0.01% เมื่อเทียบกับยูโรที่ 1.4874 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 1.4876 ยูโร/ดอลลาร์ แต่ร่วงลง 0.13% เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่ 1.6585 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.6564 ปอนด์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.12% แตะที่ 0.9096 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.9107 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ดิ่งลง 0.74% แตะที่ 0.7212 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.7266 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
เดวิด กิลมอร์ นักวิเคราะห์จาก Foreign Exchange Analytics ในรัฐคอนเน็กติกัตกล่าวกับเอพีว่า นักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์สหรัฐเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง หลังจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payroll) ประจำเดือนต.ค.ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ จะร่วงลงอีก 175,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นสถิติที่ร่วงลงรุนแรงสุดนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนต.ค.จะพุ่งขึ้นแตะ 9.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี
อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า ประสิทธิภาพการผลิตนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดที่ 9.5% ในไตรมาส 3 เนื่องจากบริษัทต่างๆปรับลดต้นทุนและแรงงานเพื่อรับมือกับดีมานด์ที่ลดลง ส่วนต้นทุนแรงงานต่อหน่วยร่วงลง 5.2% ในไตรมาส 3 หลังลดลง 6.1% ในไตรมาส 2
ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินปอนด์ หลังจากธนาคารกลางอังกฤษประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุด 0.5% เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน และตัดสินใจขยายโครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE) อีก 2.5 หมื่นล้านปอนด์ รวมเป็น 2 แสนล้านปอนด์ โดยมีเป้าหมายที่จะเสริมสภาพคล่องในระบบธนาคาร และดึงเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากภาวะถดถอย จนถึงขณะนี้ธนาคารกลางอังกฤษได้ใช้งบไปแล้ว 1.75 แสนล้านปอนด์ในโครงการ QE ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดพิมพ์ธนบัตรเพื่อใช้ซื้อสินทรัพย์จากธนาคารและบริษัทอื่นๆเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่จนถึงขณะนี้เศรษฐกิจในอังกฤษยังไม่สามารถหลุดพ้นจากภาวะถดถอยครั้งรุนแรงและยาวนานที่สุดได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 1% ซึ่งการตัดสินใจในครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่มีการคาดหมายกันว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะหลุดพ้นจากภาวะถดถอยในช่วงปลายปีนี้ แต่การฟื้นตัวก็ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เนื่องจากปัจจัยด้านการจ้างงานที่ยังคงย่ำแย่