เอกชนประสานเสียง ศก.ปีหน้าฟื้นตัว แต่ห่วงปัญหาการเมือง-มาบตาพุด-ศก.โลก

ข่าวเศรษฐกิจ Saturday November 7, 2009 15:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตัวแทนภาคเอกชน 3 สถาบัน ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท) ประสานเสียงเศรษฐกิจไทยปีนี้ฟื้นตัวแน่ แต่ต้องเผชิญกับปัจจัยเสียงสำคัญ 3 เรื่อง คือ สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ การชะลอโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

นายดุสิต นนทะนาคร ประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ต่อเนื่องไปยังปีหน้าในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป แต่ภาคเอกชนยังเป็นห่วงปัจจัยลบจากการเมืองมากที่สุด เพราะอาจทำให้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลไม่ต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นภาคเอกชน

"มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งมีส่วนสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า หากลงทุนได้ตามแผนก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปีหน้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง" นายดุสิต กล่าวในงานสัมมนา Thailand Lecture

ประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า รัฐบาลควรปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อรองรับกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจให้มีความสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศในแถบภูมิภาคอาเซียนที่มีกรอบระยะเวลาในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยควรเน้นนโยบายลดภาระต้นทุนให้กับผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนภายในประเทศเพิ่มขึ้น และต้องหามาตรการรองรับราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้า แตะระดับ 90-100 ดอลลาร์/บาร์เรล อีกทั้งต้องเร่งพัฒนาบุคคลาการให้มีประสิทธิภาพให้เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามา

ขณะที่นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มกลับมาขยายตัวแดนบวกในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ โดยดูได้จากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายตัวที่ปรับดีขึ้น ทั้งกำลังการผลิต ยอดคำสั่งซื้อสินค้า การบริโภค และการส่งออก ขณะที่การขอสินเชื่อใหม่เริ่มกลับมาเป็นบวกตั้งแต่ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา

โดยปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3% ทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นในช่วงต้นปีหน้ามาอยู่ที่ 3% ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ในช่วงไตรมาส 1-2 และปรับเฉลี่ยทั้งปี 0.75-1.0% ขณะที่การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์น่าจะมีการขยายตัวที่ระดับ 6-7% จากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 1 ล้านล้านบาท

ด้านนายสันติ วิลาศศักดานนท์ ประธาน สอ.ท. กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันที่ผันผวน และค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวเศรษฐกิจในปีหน้า ขณะที่ปัญหาการชะลอโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดน่าจะมีความชัดเจนในเดือน ธ.ค.ปีหน้า ขณะที่ยอดคำสั่งซื้อเริ่มมีกลับมามากขึ้น แม้ว่าจะยังไม่ยาวนานนัก เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติ

ส่วนนายคณิต แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 53 จะเริ่มฟื้นตัว โดยจีดีพีจะขยายตัวเป็นบวกอยู่ที่ประมาณ 3% เนื่องจากเศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปีนี้ แต่ทั้งนี้ปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้น ได้แก่ ความเชื่อมั่นของประชาชนที่อาจถูกกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง ความไม่ชัดเจนถึงแนวทางในการแก้ปัญหาของรัฐบาลในประเด็นมาบตาพุด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจีดีพีประมาณ 0.5%

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ซึ่งรัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณในส่วนของ พ.ร.บ.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท เพื่อนำมาใช้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในอนาคต หลังจากรัฐบาลได้ใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาทไปกระตุ้นเศรษฐกิจบ้างแล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ