ผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกซึ่งจัดทำโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก บ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นของผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกร่วงลงในเดือนพ.ย.หลังจากธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ อัตราว่างงานที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 10% ในสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกลดลงด้วย
ทั้งนี้ ดัชนี Bloomberg Professional Global Confidence Index ดิ่งลงแตะระดับ 60.3 จุดในเดือนพ.ย. จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 61.7 จุดซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่บลูมเบิร์กเริ่มคำนวณดัชนีดังกล่าวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ดัชนีปรับตัวเหนือระดับ 50 จุดเป็นเวลา 4 เดือนติดต่อกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้เชี่ยวชาญที่มีมุมมองเป็นบวกต่อเศรษฐกิจมีจำนวนมากกว่าผู้ที่มีมุมมองเป็นลบ
บลูมเบิร์กได้ทำการสำรวจกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกว่า 1,500 คนทั่วโลกที่ใช้บริการข่าวสารของบลูมเบิร์ก ในระหว่างวันที่ 2-6 พ.ย. โดยผลสำรวจบ่งชี้ว่าผู้เชี่ยวชาญในสเปนมีมุมมองที่เป็นลบมากที่สุดในโซนยุโรป เนื่องจากเศรษฐกิจสเปนฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยค่อนข้างช้า หลังจากอัตราว่างงานภายในประเทศพุ่งขึ้นแตะระดับ 20%
ส่วนความเชื่อมั่นของผู้เชี่ยวชาญในอเมริกาใต้ปรับตัวลงเช่นกัน โดยดัชนีความเชื่อมั่นในบราซิลดิ่งลงแตะที่ 86 จุด ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้เชี่ยวชาญในญี่ปุ่นร่วงลงอย่างหนักถึง 29.9 จุด จากเดือนต.ค.ที่ 38.8 จุด และดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมในเอเชียดิ่งลง 75.6 จุด จากเดือนต.ค.ที่ 76.2 จุด
นอกจากนี้ บลูมเบิร์กยังได้สำรวจความคิดเห็นในประเด็นอื่นๆที่ครอบคลุมถึงแนวโน้มค่าเงินและตลาดหุ้น โดยผู้เชี่ยวชาญที่คาดว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนตัวลงอีกเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆของโลกในอีก 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวนน้อยลงกว่าในเดือนต.ค. ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมุมมองที่เป็นลบต่อสกุลเงินเยนที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในยุโรปตะวันออกมีมุมมองที่แตกต่างกันไปเกี่ยวกับเงินยูโรที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์
ส่วนในประเด็นตลาดหุ้นนั้น ผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐ ญี่ปุ่น และอังกฤษ คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นในประเทศจะซบเซาลง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญในเม็กซิโก เยอรมนี และอิตาลี คาดว่าตลาดหุ้นในประเทศจะดีดตัวขึ้น นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในสหรัฐ ยุโรป และละตินอเมริกา คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางในประเทศจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอีก 6 เดือนข้างหน้า โดยคาะว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์