กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐในเดือนต.ค.พุ่งขึ้นเป็น 1.76 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับเดือนต.ค.ปีที่แล้วที่ขาดดุล 1.555 แสนล้านดอลลาร์ ทำสถิติยอดขาดดุลติดต่อกันนาน 13 เดือนซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ 1.50 แสนล้านดอลลาร์
แกรี่ เธเยอร์ หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Wells Fargo Advisors กล่าวว่า อัตราว่างงานที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงส่งผลให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลหดตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ แม้รัฐบาลประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 7.87 แสนล้านดอลลาร์แล้วก็ตาม รายได้จากการจัดเก็บภาษีที่หดตัวลงอันเป็นผลมาจากอัตราว่างงานที่สูงขึ้นเช่นนี้อาจทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณพุ่งขึ้นเหนือระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นปีที่ 2 ในปีนี้
ทำเนียบขาวคาดการณ์ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลภายใต้การนำของบารัค โอบามา ในปีนี้จะมีอยู่ทั้งสิ้น 1.58 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนพ.ค.ราว 2.62 แสนล้านดอลลาร์ โดยเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้ทำเนียบขาวเชื่อว่าจะขาดดุลงบประมาณน้อยลงในปีนี้มาจากความสำเร็จในโครงการจัดหาเม็ดเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมการเงิน และจากการที่จำนวนธนาคารล้มละลายมีอยู่น้อยกว่าที่คณะทำงานของโอบามาคาดการณ์ไว้ ซึ่งหมายความว่าบรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (Federal Deposit Insurance Corp : FDIC) จะใช้จ่ายงบประมาณน้อยกว่าที่คาดการณ์ราว 7.8 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ทำเนียบขาวคาดว่ายอดขาดดุลงบประมาณในปีนี้จะมีสัดส่วนเท่ากับ 11.2% ของตัวเลขจีดีพีในสหรัฐ โดยคาดว่าจะมีตัวเลขการใช้จ่ายทั้งสิ้น 3.653 ล้านล้านดอลลาร์ และจะมีรายรับทั้งสิ้น 2.074 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งก่อนหน้านี้คณะทำงานของโอบามาให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดยอดขาดดุลงบประมาณในปีนี้ให้อยู่ที่ 1.84 ล้านล้านดอลลาร์ บลูมเบิร์กรายงาน