เศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจจะขยายตัวในระดับที่รวดเร็วที่สุดในรอบกว่า 1 ปีในไตรมาส 3 นี้ เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากการใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดเก่า ขณะที่รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายยูคิโอะ ฮาโตยามะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันต้องการที่จะถอนมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์ออกมาคาดการณ์ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นเสี่ยงที่จะไม่ราบรื่น หลังจากที่พรรคดีพีเจได้เปลี่ยนนโยบายการใช้งบประมาณใหม่
ผลการสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของญี่ปุ่นจะขยายตัว 2.9% ในไตรมาส 3 หลังจากที่ไตรมาส 2 ขยายตัว 2.3% โดยรัฐบาลญี่ปุ่นจะเปิดเผยตัวเลข GDP ในวันที่ 16 พ.ย.นี้
บลูมเบิร์กรายงานว่า นายทาคาฮิเดะ คุอูชิ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของโนมูระ ซิเคียวริตีส์ กล่าวว่า แผนการของรัฐบาลชุดใหม่คือการเปลี่ยนไปใช้เงินในคลังในทางสร้างสรรค์ให้มากขึ้น แต่ปัญหาก็คือว่าช่วงเวลาที่อ่อนไหวเช่นนี้ การใช้นโยบายอย่างไม่ต่อเนื่องจะสร้างความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวง และความล่าช้าที่เกิดขึ้นจากการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะทำให้อัตราการขยายตัวลดลงไป 0.5% ในช่วงครึ่งปีหลังของปีงบประมาณ
พรรคดีพีเจรับช่วงนโยบายต่างๆที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจด้วยต้นทุนของหนี้สินที่สูงขึ้นจนเกือบจะถึง 2 เท่าของ GDP และเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมาทางพรรคดีพีเจก็สั่งระงับการใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านเยน หรือ 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากมองว่ามาตรการดังกล่าวเป็นเรื่องที่สิ้นเปลือง
ทั้งนี้ ยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของเศรษฐกิจ ขยายตัวขึ้น 0.6% ในไตรมาส 3 โดยส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นจะมีการให้เงินชดเชยแก่บริษัทที่ตัดสินใจที่จะไม่ปลดพนักงาน เพื่อช่วยรัฐบาลสกัดตัวเลขว่างงาน และยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในภาคครัวเรือนให้ดีดตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี
นับตั้งแต่ที่นายฮาโตยามะขึ้นมาทำหน้าที่นายกฯเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลญี่ปุ่นได้ระงับงบประมาณเสริมที่พรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลชุดก่อนได้จัดทำไว้ ในขณะที่พรรคดีพีเจวางแผนที่จะปรับเปลี่ยนเงินทุนต่างๆให้เข้ามาอยู่ในโครงการของพรรคเอง แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะเริ่มดำเนินการเมื่อไรและจะใช้เงินทุนดังกล่าวอย่างไร