ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ของจีน กล่าวกับผู้นำธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกว่า จีนต้องใช้มาตรการเชิงรุกในการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้โดยพึ่งพาการลงทุนและการส่งออกให้น้อยที่สุด
"เราทำงานอย่างหนักเพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ" นายหูกล่าวที่สิงคโปร์ "เราต้องการให้ประชาชนมีกำลังจ่ายมากขึ้น"
อย่างไรก็ตาม ผู้นำจีนไม่ได้กล่าวถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศซึ่งกำลังเป็นปัญหาในตอนนี้ เนื่องจากจีนไม่ยอมปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าเพื่อสนับสนุนภาคการส่งออก โดยเงินหยวนยังตรึงอยู่ที่ระดับ 6.83 หยวน/ดอลลาร์ มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ทั้งที่แข็งค่าขึ้นถึง 21% ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
"อันที่จริงหลายประเทศในภูมิภาคกำลังแข็งขันกับจีนเรื่องการส่งออก" หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนจากบริษัท เอสเจเอส มาร์เก็ตส์ กล่าว "ตราบใดที่เงินหยวนยังอ่อนค่าสอดคล้องกับเงินดอลลาร์ ประเทศอื่นในเอเชียก็ต้องเข้าแทรกแซงเพื่อไม่ให้สกุลเงินของตนเองแข็งค่าเช่นกัน"
ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านหยวน (5.86 แสนล้านดอลลาร์) ช่วยหนุนให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวถึง 8.9% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเศรษฐกิจจีนก็มีอิทธิพลต่อประเทศอื่นในเอเชียมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2545 สหรัฐยังเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่ในปี 2551 จีนสามารถแซงหน้าสหรัฐและเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของประเทศที่กล่าวมาทั้งหมด สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน