“5 ปีที่ผ่านมา นโยบายส่งเสริมเอสเอ็มอีที่ลงทุนเพียง 5 แสนบาทก็สามารถขอรับส่งเสริมได้ แต่มีผู้ได้รับการส่งเสริมเพียง 146 โครงการ รวมเงินลงทุน 8,414 ล้านบาท ซึ่งเกือบทุกรายเป็นกิจการ 2 ประเภทคือ การผลิตหรือถนอมอาหาร และ กิจการคัดคุณภาพ บรรจุ เก็บรักษาพืช ผัก ผลไม้ ดอกไม้ เพราะเปิดให้ส่งเสริมเพียง 10 ประเภท
ดังนั้น หากเพิ่มประเภทกิจการเป็น 57 ประเภท ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและภาคบริการ ก็จะทำให้เอสเอ็มอีไทยสามารถขอรับส่งเสริมได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับการผลิตให้เอสเอ็มอีไทยได้มาตรฐานมากขึ้น" เลขาธิการบีโอไอกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบให้มีการยกเลิกเงื่อนไขเดิมที่กำหนดให้อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ต้องได้รับการคัดเลือกเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) หรือเป็นผู้ผลิตที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคแก่กิจการเอสเอ็มอี
และที่ประชุมยังเห็นชอบให้อนุญาตให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับการส่งเสริมภายใต้นโยบายนี้ สามารถนำเครื่องจักรใช้แล้วภายในประเทศมาขอรับการส่งเสริมรวมกับเครื่องจักรใหม่ได้ แต่มูลค่าเครื่องจักรใช้แล้วจะต้องไม่เกิน 10 ล้านบาท และจะต้องลงทุนในเครื่องจักรใหม่เพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของมูลค่าเครื่องจักรใช้แล้ว โดยเมื่อรวมขนาดการลงทุนแล้ว (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนของโครงการ) ต้องไม่เกิน 20 ล้านบาท เพื่อให้เป็นนโยบายการส่งเสริมกิจการเอสเอ็มอีอย่างแท้จริง
และแม้ว่าที่ประชุมจะเห็นชอบให้มาตรการนี้เป็นมาตรการชั่วคราว เพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยมีผลไปจนถึงสิ้นปี 2554 แต่กิจการเอสเอ็มอีที่ลงทุนตั้งแต่ 500,000 บาทและได้รับส่งเสริมการลงทุนภายใต้นโยบายนี้ จะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด ยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี ไม่จำกัดวงเงินที่ได้รับยกเว้น และสามารถตั้งกิจการในเขตที่ตั้งใดก็ได้