บริษัท เบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ของ นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ เข้าซื้อหุ้นในเอ็กซอนโมบิล บริษัทพลังงานรายใหญ่สุดของโลก อีกทั้งซื้อหุ้นในบริษัท เนสท์เล่, รีพับลิค เซอร์วิสเซส บริษัทกำจัดขยะรายใหญ่ของสหรัฐ และทราเวลเลอร์ส คอส ซึ่งเป็นบริษัทประกัน นอกจากนี้ เบิร์คเชียร์ยังได้เพิ่มการถือครองหุ้นในวอล-มาร์ท สโตเรส อิงค์ บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ
รายงานที่เบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐระบุว่า เบิร์คเชียร์เข้าซื้อหุ้นจำนวน 1.28 ล้านหุ้น มูลค่า 87.6 ล้านดอลลาร์ และได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นในวอล-มาร์ท เป็น 90% แตะที่ 37.8 ล้านหุ้น จากเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ 19.9 ล้านหุ้น
นอกจากนี้ เบิร์คเชียร์ยังถือหุ้น 3.4 ล้านหุ้นในบริษัท เนสท์เล่ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก อีกทั้งถือหุ้น 3.63 ล้านหุ้นในบริษัท รีพับลิค เซอร์วิสเซส และถือหุ้น 27,000 หุ้นในบริษัท ทราเวลเลอร์ส
พอล โฮเวิร์ด นักวิเคราะห์จากบริษัทฮาร์ทฟอร์ด ในรัฐคอนเน็กติกัต กล่าวว่า "เบิร์คเชียร์ให้ความสนใจซื้อหุ้นในบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่อย่างเอ็กซอนโมบิลก็เพราะดีมานด์พลังงานมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นตามเศรษฐกิจโลก เราคาดว่าบริษัท เบิร์คเชียร์ของบัฟเฟตต์จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดพลังงานและต่อสถานะของเอ็กซอนโมบิล"
การไล่ซื้อหุ้นในบริษัทต่างๆของบัฟเฟตต์ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ ทำให้กลุ่มกองทุนรวมและนักลงทุนทั่วไปจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะบัฟเฟตต์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถคาดการณ์ทิศทางตลาดได้เก่งที่สุด แซงหน้าบิล กรอสส์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนร่วมของบริษัทแปซิฟิก อินเวสเมนต์แมเนจเมนต์ (PIMCO) อีกทั้งยังได้รับการโหวตว่ามีวิสัยทัศน์ที่คมชัดกว่าจอร์จ โซรอส และศาสตราจารย์ นูรีล รูบินี แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก
บัฟเฟตต์ได้กล่าวคำคมในระหว่างการปาฐกถาในที่ประชุมแห่งหนึ่งที่นิวยอร์กเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า "เป็นเรื่องผิดพลาดอย่างยิ่งที่คุณตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายหุ้นโดยเอาแต่มองว่าเศรษกิจในปัจจุบันจะเป็นอย่างไร สำหรับผมแล้วโอกาสเป็นของทุกคนที่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ตลาดที่ผันผวนและเศรษฐกิจที่อ่อนแอเป็นเพื่อนที่ดีของเบิร์คเชียร์"
เมื่อไม่นานมานี้ เบิร์คเชียร์ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการเบอร์ลิงตัน นอร์ทเธิร์น ซานตาเฟ คอร์ป บริษัทสร้างทางรถไฟขนาดใหญ่ ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้น เนื่องจากเบิร์คเชียร์ทุ่มซื้อเบอร์ลิงตัน นอร์ทเธิร์น ซานตาเฟ ด้วยเงินสดจำนวนมากที่สุดถึง 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 100 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยบัฟเฟตต์ให้เหตุผลว่า เหตุที่เขาเปิดทางให้เบิร์คเชียร์ซื้อกิจการเบอร์ลิงตัน นอร์ทเธิร์น ซานตาเฟ แบบ "เทหมดหน้าตัก" เพราะมั่นใจในอนาคตของเศรษฐกิจสหรัฐ
บลูมเบิร์กรายงานว่า บัฟเฟตต์สร้างอาณาจักรเบิร์คเชียร์จนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่า 1.50 แสนล้านดอลลาร์ที่ไล่ซื้อกิจการบริษัทต่างๆเพื่อขยายฐานธุรกิจมาโดยตลอด รวมถึงดีลครั้งใหญ่ในปี 2541 ที่เข้าซื้อบริษัท General Reinsurance Corp เป็นเงินกว่า 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้จนถึงขณะนี้เบิร์คเชียร์มีบริษัทในครอบครองกว่า 100 แห่ง