นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบให้คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังพิจารณาทบทวนผลการเจรจาขายมันสำปะหลังให้กับจีนในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล(G to G) เนื่องจากเห็นว่าราคาที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ต่ำกว่าราคาตลาดมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการฉุดราคาตลาดตามลงมา ขณะที่แนวโน้มราคามันสำปะหลังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี เชื่อว่ากรณีดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ เพราะอยู่ในขั้นตอนการเจรจาเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นที่มีการทำสัญญาไว้แล้ว อีกทั้งการที่รัฐบาลจะระบายมันสำปะหลังที่มีอยู่ในสต็อกราว 3 แสนตัน จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อราคาในประเทศ
แหล่งข่าวจากที่ประชุม ครม.เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้รับทราบคำชี้แจงของนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ถึงการขายแป้งมันสำปะหลังแบบ G to G กับบริษัท Guangxi Mingyang Biochemical Scince&Technology ซึ่งเป็นวิสาหกิจจีน ปริมาณ 200,000 ตัน ราคา ณ หน้าคลัง 8,010 บาท/ตัน โดยระบุว่าจากการเจรจาสามารถเพิ่มราคาขึ้นมา 90 บาท/ตันจากเดิม 7,920 บาท/ตัน
นางพรทิวา ระบุว่า การที่เสนอการดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้หวังผลอะไร แล้วแต่ ครม.ที่จะพิจารณาอนุมัติหรือไม่ โดยยืนยันว่าราคาที่ได้ถือว่าเป็นราคามิตรภาพ อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)เห็นว่าราคาที่เสนอมายังแตกต่างกันแบบมีนัยสำคัญ จึงควรเสนอคณะกรรมการมันสำปะหลังแห่งชาติ ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ เป็นประธานพิจารณากับผู้ทรงคุณวุฒิด้านนี้ก่อน ประกอบกับยังไม่มีการรายงานราคา ณ ปัจจุบันให้ ครม.รับทราบในวันนี้
"นายกฯ เห็นว่า เท่าที่ทราบขณะนี้รัฐบาลมีแป้งมันมันสำปะหลังอยู่ในมือกว่า 300,000 ตัน และราคาหน้าคลัง ณ ปัจจุบันก็น่าจะสูงขึ้นอีก การที่กระทรวงพาณิชย์ไปเจรจาได้ในราคามิตรภาพ แม้ราคาจะเป็นราคาแบบมิตรภาพซึ่งป็นที่น่าสนใจ แต่ราคาในตลาดปัจจุบันก็น่าจะสูงกว่านี้"แหล่งข่าว กล่าว
แหล่งข่าว ระบุว่า ข้อเท็จจริงที่มีการนำเสนอใน ครม. ยืนยันว่ารัฐวิสาหกิจจีนจะนำแป้งมันไปผลิตเป็นเอทานอล รัฐบาลไทยไม่ควรที่จะขายในราคาที่ถูกหากจะแสวงหากำไรจากแป้งมันที่ถืออยู่ เพราะรัฐก็ยังสามารถเก็บไว้ขายได้อีกประมาณ 50,000 ตัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ยืนยันในหลักการนี้