สมาคมเหล็กและเหล็กกล้าของจีนคาดการณ์ว่า ผลผลิตเหล็กกล้าในจีนซึ่งเป็นทั้งผู้ใช้และผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่สุดของโลก อาจจะมีอยู่มากกว่าดีมานด์ในปีนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้ยอดส่งออกเหล็กกล้าของจีนพุ่งขึ้นเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว
ทั้งนี้ นายหลัว ปิงเฉิง รองประธานสมาคมเหล็กและเหล็กกล้าของจีนคาดว่า ผลผลิตเหล็กกล้าของจีนอาจพุ่งขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 565 ล้านเมตริกตัน และคาดว่าดีมานด์เหล็กกล้าจะเพิ่มขึ้น 18% เป็น 549 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้น 10% เป็น 550 ล้านตันในปีนี้
"อุตสาหกรรมเหล็กกล้าเผชิญกับภาวะ overcapacity ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณเหล็กในสต็อกพุ่งสูงขึ้น และทำให้ราคาเหล็กมีความเสี่ยงที่จะตกต่ำลงในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่ร่วงลงไปแล้ว 18% ภายหลังจากทำสถิติพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 10 ปีเมื่อวันที่ 4 ส.ค.เนื่องจากโรงถลุงเหล็กกล้าของจีนได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 5.86 แสนล้านดอลลาร์ของรัฐบาล" นายหลิวกล่าว
นอกจากนี้ นายหลิวคาดการณ์ว่า ยอดส่งออกเหล็กดิบของจีนอาจมีอยู่ทั้งสิ้น 1.2 ล้านตันในปีนี้ หลังจากมียอดนำเข้าทั้งสิ้น 393,400 ตันในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ส่วนยอดนำเข้าสินแร่เหล็กในช่วงเดือนม.ค.-ต.ค.ปีนี้มีอยู่มากกว่าดีมานด์ราว 63 ล้านตัน และสินแร่เหล็กในสต็อกมีอยู่มากกว่า 70 ล้านตัน
บลูมเบิร์กรายงานว่า การแสดงความคิดเห็นของนายหลัวทำให้เกิดความวิตกกังวลมากขึ้นว่า ซัพพลายเหล็กกล้าที่เพิ่มขึ้นในจีนอาจกดดันราคาเหล็กกล้าร่วงลงและจะทำให้จีนต้องส่งออกเหล็กกล้าออกไปขายยังต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจะทำให้จีนเผชิญการแข่งขันกับบริษัทเหล็กกล้ารายอื่นๆในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นบริษัท นิปปอน สตีล คอร์ป และเป๋าซาน ไอออน แอนด์ สตีล ซึ่งเป็นบริษัทถลุงแร่เหล็กรายใหญ่สุดของเอเชีย โดยในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารของเป๋าซานคาดการณ์ว่าราคาเหล็กจะหดตัวลงซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรไตรมาส 4 ของบริษัท ทำให้บริษัทต้องวางแผนควบคุมการผลิตไปจนถึงช่วงการปิดโรงงานเพื่อบำรุงรักษาเครื่องจักรประจำปี