นายเค ชานมูกัม รมว.ยุติธรรมสิงคโปร์ กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า วิกฤตเศรษฐกิจและการเงินโลกทำให้สิงคโปร์ รวมถึงภาครัฐ กลุ่มนายจ้าง และสหภาพแรงงาน ตื่นตัวในเรื่องการรับมือกับวิกฤตการณ์ดังกล่าวที่อาจจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า โดยหลังจากเกิดวิกฤตการณ์ดังกล่าวได้ไม่นาน รัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศใช้มาตรการด้านการเงินที่มีประสิทธิภาพและมีวินัย
รมว.ยุติธรรมยังกล่าวด้วยว่า บทเรียนที่ได้จากวิกฤตการณ์การเงินโลกยังสอนให้ชาวสิงคโปร์หันมาพึ่งพาซึ่งกันและกัน อีกทั้งทำให้ชาวสิงคโปร์ตื่นตัวในการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจสิงคโปร์ฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอยรุนแรง และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐ กลุ่มนายจ้าง และสหภาพแรงงาน แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
การแสดงความคิดเห็นของนายชานมูกัมมีขึ้นหลังจากกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ (MTI) เปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นมาตรวัดการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ขยายตัว 14.2%ต่อปี ในไตรมาส 3 ซึ่งทำสถิติขยายตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส และเป็นการขยายตัวต่อปีครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่แล้ว เนื่องจากการฟื้นตัวของภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมช่วยหนุนเศรษฐกิจของประเทศให้ดีดตัวขึ้นจากภาวะถดถอย
นอกจากนี้ MTI คาดการณ์ว่า จีดีพีภายในประเทศจะขยายตัวขึ้น 3-5% ในปีหน้า แต่ยังคงคาดการณ์จีดีพีปี 2552 ว่าจะหดตัว 2.5-2.0%
บลูมเบิร์กรายงานว่า สิงคโปร์ต้องพึ่งพาการค้า ภาคการเงิน และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจในประเทศตนเองให้สามารถยืนหยัดเป็นหนึ่งในประเทศที่มีมาตรฐานการครองชีพสูงสุดในเอเชียได้ โดยภาคอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ขยายตัวขึ้น 26.6% ในไตรมาส 3 ขณะที่ภาคบริการขยายตัวขึ้น 10.8%