ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์สหรัฐทั้ง 9 แห่งที่ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test) ในปีนี้ ยอมรับแผนการชำระเงินคืนโครงการลดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (TARP) รวมถึงแบงก์ ออฟ อเมริกา และธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนคาดว่าธนาคารเหล่านี้จะสามารถชำระเงินคืนโครงการดังกล่าวได้ก็ด้วยการระดมทุนผ่านการออกหุ้นสามัญ
โจเอล คอนน์ ประธานบริษัท เลคส์ชอร์ แคปิตอล อิงค์ ในรัฐอลาบามากล่าวว่า ข้อเรียกร้องของเฟดอาจสร้างแรงกดดันให้กับธนาคารพาณิชย์มากขึ้นในเรื่องระยะเวลาการชำระเงินคืนโครงการ TARP ซึ่งอาจทำให้ธนาคารเหล่านี้หันไปทำข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกำกับดูแลด้านการธนาคารเพื่อกำหนดระยะเวลาในการคืนเงิน โดยธนาคารทั้ง 9 แห่งรับเงินจากโครงการ TARP ไปทั้งสิ้น 1.42 แสนล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์จำนวนมองว่าข้อเรียกร้องของเฟดมีขึ้นหลังจากมีรายงานว่าอัตราการปล่อยเงินกู้ของสถาบันการเงินรายใหญ่ในสหรัฐที่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการร่วงลง 17% ในเดือนส.ค. เหลือเพียง 2.347 แสนล้านดอลลาร์ ทำสถิติร่วงลงเป็นเดือนที่ 3 ภายในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งเป็นผลมาจากสถาบันการเงินหลายแห่งในสหรัฐตุนเงินสดเอาไว้เป็นจำนวนมาก รวมถึงซิตี้กรุ๊ป อิงค์ และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งบ่งชี้ว่าวิกฤตการณ์ด้านการเงินในสหรัฐยังไม่สิ้นสุดลง
รายงานระบุว่านับตั้งแต่การล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์สนั้น ธนาคารซิตี้กรุ๊ป ถือครองเงินสดไว้มากขึ้นเกือบ 2 เท่า เป็น 2.442 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ และหลังจากที่กระทรวงการคลังสหรัฐกดดันให้ซิตี้กรุ๊ปสำรองเงินสดไว้เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน แม้ในช่วงที่ตลาดฟื้นตัวขึ้นแล้วก็ตาม
ธนาคารทั้ง 9 แห่งที่เข้าทดสอบ stress test และถูกเรียกร้องจากเฟดให้ชำระเงินคืนโครงการ TARP ได้แก่ แบงก์ ออฟ อเมริกา, พีเอ็นซี, ซิตี้กรุ๊ป อิงค์, ฟิฟท์เติร์ด แบงคอร์ป, GMAC, คีย์คอร์ป, รีเจียนส์ ไฟแนนเชียล คอร์ป, ซันทรัสต์แบงก์ อิงค์ และเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค บลูมเบิร์กรายงาน