ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ปรับคาดการณ์ GDP ปี 52 หดตัวลดเหลือ 3.1% จากเดิม 3.3%

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday November 24, 2009 10:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 52 โดยคาดว่าจะหดตัว 3.1% ซึ่งเป็นการหดตัวน้อยลงจากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 3.3% ขณะที่คาดว่าในปี 53 เศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวได้ในระดับปานกลาง ที่ประมาณ 3.0% โดยมีช่วงกรอบประมาณการอยู่ระหว่าง 2.5-3.5%

ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/52 ที่ปรับฤดูกาลแล้วอาจมีระดับค่อนข้างใกล้เคียงหากเทียบไตรมาสก่อนหน้า แต่เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ที่ประมาณ 2.3%

จากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไทยของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)วานนี้ พบว่าแม้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/52 ยังคงขยายตัว 1.3% ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า แต่เป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงจาก 2.2%ในไตรมาส 2/52 และต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาด เป็นผลมาจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภคภายในประเทศ การบริโภคของรัฐบาล ขณะที่การลงทุนชะลอลงเล็กน้อย

ภาพรวมแม้เศรษฐกิจจะมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้าเกษตร ประกอบกับ แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย แต่ปัจจัยที่คาดหวังว่าจะเข้ามาเป็นแรงกระตุ้นเหล่านี้ ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ โดยเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วยังมีความเปราะบางจากปัญหาการว่างงานสูงและความอ่อนแอของภาคการบริโภค ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจ เมื่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทางการของแต่ละประเทศนำออกมาใช้เริ่มหมดไป

ขณะที่เศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียที่เป็นความหวังว่าจะเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกนั้น ยังเผชิญความเสี่ยงต่อโอกาสที่จะเกิดเงินเฟ้อสูง และการก่อตัวของฟองสบู่ในสินทรัพย์

สำหรับปัญหาการเมืองในประเทศยังคงเป็นความเสี่ยงหลักต่อการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของภาคเอกชน และการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล

นอกจากนี้ การลงทุนในกิจการหลายประเภทที่กำลังเผชิญข้อติดขัดจากความไม่ชัดเจนของกฎหมายและหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลการลงทุน เช่น โครงการในลักษณะเดียวกับ 76 โครงการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุดที่ศาลปกครองกลางสั่งให้ระงับโครงการไว้ก่อน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ตลอดจนการลงทุนในกิจการโทรคมนาคมอาจยังต้องใช้เวลาในการดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกว่าที่จะเห็นโครงการเดินหน้าได้ อย่างเร็วคงเป็นช่วงปลายไตรมาส 1/53 ซึ่งความล่าช้าในการดำเนินการจึงอาจมีผลต่อมูลค่าการลงทุนโดยรวม

ขณะที่การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนในปี 53 อาจยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ โดยการบริโภค อำนาจซื้อของผู้บริโภคอาจยังไม่ดีขึ้นมากนัก ยังมีแรงกดดันจากภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจเริ่มปรับขึ้น ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนมีอุปสรรคหลายด้าน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เสนอแนะว่า บทบาทของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 53 วงเงิน 1.7 ล้านล้านบาท และงบภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ในส่วนที่มาจาก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ วงเงินทั้งสิ้น 350,000 ล้านบาท ที่ยังมีความล่าช้า

นอกจากนี้ต้องมีการบริหารจัดการและดูแลการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจตามวัตถุประสงค์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งจะทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนของรัฐนั้น ก่อเกิดผลทวีคูณไปสู่การเติบโตของภาคการผลิต การลงทุน การจ้างงาน และการบริโภคของภาคเอกชนตามมา ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญต่อการเสริมสร้างพื้นฐานที่เข้มแข็งขึ้นให้แก่ภาคเอกชน เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนนั้นจะไม่อาจเกิดขึ้นได้หากกิจกรรมเศรษฐกิจในภาคเอกชนยังอ่อนแอ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ