กสิกรไทยคาด กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% ไปอย่างน้อยถึงกลางปี 53

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 30, 2009 15:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ จะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% ตามเดิม และอาจต่อเนื่องต่อไปจนถึงช่วงกลางปี 53 เป็นอย่างน้อย โดยการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ทิศทางขาขึ้นนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ กนง.มีความเชื่อมั่นมากพอต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจยังคงมีน้ำหนักเมื่อเทียบกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ เนื่องจากเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1.ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแกนหลักในโลก และสมดุลของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเกิดใหม่

2.ปัจจัยในประเทศ ได้แก่ เสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งจะมีผลต่อความคืบหน้าของการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยเฉพาะการลงทุนภายใต้ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ตลอดจนความชัดเจนของโครงการลงทุนในบางสาขา เช่น โครงการในลักษณะเดียวกับกรณีที่มาบตาพุด และโครงการด้านโทรคมนาคม เป็นต้น

ขณะที่การเร่งตัวของแรงกดดันเงินเฟ้อโดยเฉพาะที่มาจากด้านอุปสงค์ในประเทศน่าจะเกิดขึ้นในขอบเขตที่จำกัด เพราะเศรษฐกิจเพิ่งอยู่ในช่วงแรกของการฟื้นตัว และยังมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอาจพิจารณาต่ออายุบางมาตรการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนออกไปอีก รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคอาจยังทำได้ไม่เต็มที่นัก ท่ามกลางภาวะการแข่งขันสูง โดยเฉพาะหลังการเปิดตลาดภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียนในช่วงต้นปี 2553

"การดำเนินนโยบายการเงินด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำของ กนง.ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในการช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้สามารถฟื้นตัวขึ้นได้อย่างมีเสถียรภาพ และ กนง.ก็น่าจะยังพอมีความยืดหยุ่นให้สามารถดำเนินการได้อยู่อย่างน้อยก็ในระยะเวลาอันใกล้นี้" เอกสารเผยแพร่ ระบุ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า แม้จังหวะเวลาของการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินจากระดับผ่อนคลายเป็นพิเศษไปสู่ระดับในภาวะปกติหรือนโยบายที่มีความเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมอาจมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ แต่การตัดสินใจนโยบายอัตราดอกเบี้ยของไทย โดย กนง.คงไม่อาจละเลยการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางที่สำคัญในโลกโดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ ไปได้

เนื่องจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยในและต่างประเทศอาจมีอิทธิพลส่วนหนึ่งต่อกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศและทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น กนง.คงจะต้องชั่งน้ำหนักและพิจารณาถึงปัจจัยนี้ในการกำหนดนโยบายการเงินเพื่อรักษาสมดุลของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งรวมถึงเสถียรภาพของค่าเงินบาท

สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวียดนามและดูไบนั้น แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วคาดว่าผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ(GDP) ของไทยในปี 53 จะมีจำกัด แต่สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความเปราะบางของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก และยังคงไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในทันทีขณะนี้ว่าสถานการณ์ของทั้ง 2 ประเทศจะใช้เวลานานเพียงใดกว่าที่จะคลี่คลายเป็นปกติ

ดังนั้น ธนาคารกลางทุกแห่งทั่วโลก รวมถึง ธปท.คงจะต้องติดตามความคืบหน้าของประเด็นซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป ขณะที่การเข้าไปดูแลความเสี่ยงของภาวะฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์ของเศรษฐกิจบางประเทศ เช่น จีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เป็นต้น อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มความเสี่ยงขาลงให้กับเศรษฐกิจไทยไม่มากก็น้อย และส่งผลตามมาให้ กนง.จำเป็นต้องตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำเป็นเวลานานขึ้นกว่าที่คาดไว้เดิม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ