องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกรายงานคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวในอัตรา 2.4% ในปี 2553 เนื่องจากรัฐบาลทั่วโลกพร้อมใจกันใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2551 พร้อมกับแนะนำให้รัฐบาลใช้มาตรการฟื้นฟูต่อไปจนกว่าจะมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืน รวมถึงการฟื้นตัวของตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค การลงทุนภาคเอกชน และจนกว่าตัวเลขจ้างงานจะดีดตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ยูเอ็นเตือนว่ากระบวนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะเปราะบางมาก
รายงาน "The World Economic Situation and Prospects 2010" ของยูเอ็นระบุว่า เศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะเข้าสู่วงจรการฟื้นตัว หลังจากถูกกระทบอย่างหนักจากภาวะตกต่ำด้านการค้าและผลผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยคาดว่าภาคอุตสาหกรรม การค้า และตลาดหุ้นทั่วโลกจะฟื้นตัวขึ้นในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ยูเอ็นคาดว่ากระบวนการฟื้นตัวจะตกอยู่ในภาวะที่เปราะบางมากเนื่องจากอัตราว่างงานและยอดขาดดุลการค้าที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในสหรัฐ นอกจากนี้ ยูเอ็นเตือนว่าเศรษฐกิจโลกอาจเผชิญความเสี่ยงเกี่ยวกับภาระหนี้สินในต่างประเทศที่อาจเป็นเหตุให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐทรุดหนักแบบ "ฮาร์ดแลนดิ้ง" และอาจทำให้เกิดภาวะไร้เสถียรภาพด้านการเงินระลอกใหม่ ถึงกระนั้นก็ตาม ยูเอ็นคาดว่ารัฐบาลทั่วโลกจะไม่วิตกกังวลต่อการพุ่งขึ้นของยอดขาดดุลการค้าและตัวเลขว่างงานมากนัก จนกว่าจะเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ยูเอ็นกล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศทั่วโลกจะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในเรื่องการปฏิรูประบบเศรษฐกิจเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจโลกเผชิญกับภาวะล่มสลายทางการเงิน เพราะที่ผ่านมานั้นการปฏิรูปดำเนินการแต่ในกรอบที่จำกัดเท่านั้น
ยูเอ็นคาดว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะประเทศในเอเชีย จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกปีหน้า โดยคาดว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะขยายตัว 5.3% ในปี 2553 จากปี 2552 ที่ระดับ 1.9% โดยคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 8.8% เศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัว 6.5% และรัสเซียขยายตัว 1.5% ในปี 2553
ส่วนสหรัฐซึ่งอยู่ในกลุ่มชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จะขยายตัว 2.1% ในปี 2553 แต่คาดว่าจะหดตัวรุนแรงถึง 7% ในปี 2552 ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นและอีก 16 ชาติสมาชิกยุโรปจะขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่า 1% ในปี 2553