รัฐบาลอินเดียตั้งเป้าควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ควบคู่ไปกับกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ได้ภายในปี 2574 หลังจากที่ได้ใช้มาตรการลดการใช้พลังงานและก๊าซคาร์บอนอย่างจริงจังในช่วงที่ผ่านมา
ทูตพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของนายกรัฐมนตรีมานโมฮาน ซิงห์ ผู้นำอินเดียกล่าวว่า อินเดียจะสามารถลดอัตราการใช้พลังงานต่อหนึ่งหน่วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ลงได้มากถึง 35% ภายใน 22 ปี รวมไปถึงการลดอัตราปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นตัวการภาวะโลกร้อนได้ที่ระดับ 35% เช่นเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินเดียโดยเฉลี่ยที่ 6% ขณะที่ปริมาณการใช้พลังงานขยายตัวเพียง 3.8% ต่อปีนับตั้งแต่ปี 2533
โดยอินเดีย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศผู้ปล่อยมลพิษทางอากาศมากที่สุดอันดับ 4 ของโลก และเป็นประเทศผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่อันดับ 3 ในเอเชีย กำลังเผชิญแรงกดดันให้ควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นเดียวกับจีนและสหรัฐ ซึ่งสองประเทศหลังได้ประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ก่อนที่การประชุมของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสหภาพอากาศในกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 7 ธันวาคมนี้
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนประกาศว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยจีดีพีลงราว 40-45% จากระดับในปี 2548 ขณะที่สหรัฐจะลดระดับการปล่อยก๊าซดังกล่าวลง 17%
นอกจากนี้ บรรดานักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเชื่อว่า อินเดียอาจยื่นข้อเสนอเรื่องการควบคุมมลพิษในครั้งนี้ต่อที่ประชุม หลังจากที่ได้ประกาศถึงแผนการเพิ่มระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในเดือนมิ.ย.2551 และการประหยัดพลังงาน รวมไปถึงการปลูกป่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน
ขณะเดียว รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของอินเดียอาจกำหนดเป้าหมายการควบคุมก๊าซเรือนกระจกในวันนี้ ซึ่งรัฐบาลคาดว่าอินเดียอาจกำหนดตัวเลขควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากปี 2548 ลงให้ได้ 24% ภายในปี 2563 ก่อนที่จะลดการปล่อยก๊าซดังกล่าวลง 37% ภายในปี 2573