นายสรสิทธิ์ สุนทรเกส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์มีการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการในมาบตาพุดประมาณ 2 แสนล้านบาท โดยมีการเบิกใช้แล้วประมาณ 9.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งผลการสำรวจเบื้องต้นมีการเบิกใช้เงินตามโครงการและยังมีเงินหมุนเวียนได้ทุกโครงการ ไม่สะดุดเรื่องนี้ ดังนั้นธนาคารพาณิชย์จึงไม่ต้องกันสำรองหนี้
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสินเชื่อที่เบิกจ่ายไปแล้วทั้ง 9.5 หมื่นล้านบาท คงจะไม่กลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ทั้งหมด
"9.5 หมื่นล้านบาท ถ้าเสียทั้งก้อนก็ไม่กระทบต่อฐานะแบงก์เพราะ BIS อยู่ที่ 15-16% และสำรองตามเกณฑ์ของแบงก์ชาติก็สูงมาก"นายสรสิทธิ์ กล่าว
ณ สิ้น พ.ย.52 ระบบธนาคารพาณิชย์ มียอดคงค้างสินเชื่อใน 65 โครงการที่ถูกระงับราว 78,056 ล้านบาท คิดเป็น 1.15% ของสินเชื่อรวม หากประเมินในแง่เลวร้ายที่สุดกรณีเกิดความเสียหายทั้งหมดก็จะกระทบกับกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS)ประมาณ 0.1% ซึ่งจะทำให้ระดับ BIS ในปัจจุบันลดลง 0.1% มาอยู่ที่ประมาณ 15.8% ธปท.ประเมินแล้วว่าไม่น่าจะกระทบกับฐานะของธนาคาร
นายสรสิทธิ์ กล่าวว่า ในระยะสั้น ๆ คาดว่ากรณีโครงการลงทุน 65 โครงการในพื้นที่มาบตาพุดยังไม่สามารถเดินหน้าได้ คงไม่มีผลกระทบต่อธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อ ส่วนหากสถานการณ์ยืดเยื้อจะมีผลกระทบแค่ไหนก็คงต้องมีการประเมินอีกครั้ง เพราะขณะนี้ยังไม่รู้ว่าธนาคารพาณิชย์ได้ปล่อยกู้ในโครงการต่อเนื่องอีกหรือไม่
ขณะนี้ ธปท.ไม่ได้เรียกธนาคารพาณิชย์มาคุยอะไรเป็นพิเศษ เกี่ยวกับสินเชื่อที่ปล่อยให้กับโครงการในมาบตาพุด แต่มีการสอบถามไปแต่ละธนาคารบ้างถึงผลกระทบว่ามีมากน้อยแค่ไหน
"ปัญหานี้ไม่ควรทิ้งไว้นาน รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาเพราะไม่รู้ปัญหาจะมีมากขึ้นจากนี้หรือเปล่า" นายสรสิทธิ์ กล่าว
นายสรสิทธิ์ กล่าวว่า ความเชื่อมั่นของธนาคารพาณิชย์ต่อการปล่อยสินเชื่อของโครงการใหญ่ๆ ในระยะต่อไปคงตอบยาก แต่ธนาคารพาณิชย์ก็คงต้องพิจารณาประเด็นกฎหมายสิ่งแวดล้อมและกฎหมายด้านการลงทุนมากขึ้นว่าโครงการที่ขอสินเชื่อติดขัดในเงื่อนไขอะไรบ้าง เพราะกังวลว่าจะกระทบต่อการชำระหนี้ของลูกหนี้หากโครงการเกิดการสะดุด