บริษัท อิสทิธมาร์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือดูไบ เวิล์ด สูญเสียการครอบครองโรงแรมดับเบิ้ลยู นิวยอร์ก ยูเนียน สแควร์ ในการประมูลสินทรัพย์ที่ถูกยึดเนื่องจากการผิดนัดชำระหนี้ในสหรัฐ หลังจากบริษัท แอลอีเอ็ม ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของลูเบิร์ต-แอดเลอร์ เรียลเอสเตท ฟันด์ ชนะประมูลโรงแรมดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ในแมนฮัทตันไปในราคาเพียง 2 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่อิสทิธมาร์ซื้อโรงแรมแห่งนี้มาเมื่อปี 2549 ในราคา 285 ล้านดอลลาร์
อิสทิธมาร์ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ โดยเมื่อไม่นานมานี้ตลาดหุ้นทั่วโลกตื่นตระหนกกับข่าวที่ว่าบริษัทแม่ของอิสทิธมาร์ คือ ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบ ซึ่งมีหนี้สินรวม 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์ วางแผนเลื่อนการชำระหนี้จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์ซึ่งครบกำหนดในเดือนธ.ค.ปีนี้ ออกไปเป็นเดือนพ.ค.ปีหน้า ซึ่งนับเป็นการผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่สุดในรอบ 8 ปี ข่าวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อบรรดาธนาคารเจ้าหนี้ของดูไบ เวิล์ด รวมถึงธนาคาร HSBC, ธนาคารลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป, ธนาคารรอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ และธนาคารบาร์เคลย์ส
เจ้าหน้าที่ผู้จัดการประมูลกล่าวในแถลงการณ์วันนี้ว่า "เรารู้สึกโล่งใจที่การประมูลเสร็จสิ้นลงและรู้ผลว่าใครเป็นผู้ครอบครองดับเบิ้ลยู นิวยอร์ก ยูเนียม สแควร์ เราเชื่อมั่นว่าอนาคตของธุรกิจโรงแรมยังคงสดใส แม้ธุรกิจชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมาและมีการผิดนัดชำระหนี้จนนำไปสู่การประมูลขายทอดตลาดในวันนี้ก็ตาม"
เรียลพอยท์ แอลแอลซี ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือในแวดวงอุตสาหกรรมโรงแรมระบุว่า ธุรกิจโรงแรมระดับหรูหราได้รับผลกระทบอย่างหนักจากอัตราการเดินทางและการลงทุนในภาคธุรกิจที่ซบเซาลงในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับภาวะถดถอย และอัตราการจองห้องพักที่ลดลงของดับเบิ้ลยู นิวยอร์ก ยูเนียน สแควร์ ส่งผลให้กระแสเงินสดหมุนเวียนของโรงแรมหดตัวลงด้วย
ด้านนายอับดุลอาซิส อัล มาซาม โฆษกของอิสทิธมาร์กล่าวว่า "แม้อิสทิธมาร์ต้องเผชิญกับมรสุมทางการเงินครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เรายังยืนหยัดลงทุนในธุรกิจที่เราถนัด ขณะนี้เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวแล้ว จึงทำให้เรามั่นใจและคาดว่าจะลงทุนในธุรกิจด้านนี้มากขึ้นด้วย"