ผลการศึกษาของธนาคารโลกบ่งชี้ว่า ร่างกฏหมายว่าด้วยการลดปริมาณการแพร่กระจายของก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภานั้น อาจส่งผลให้ยอดส่งออกสินค้าของจีนหดตัวลง 20% เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวซึ่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐผ่านร่างไปเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมานั้น กำหนดว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ไม่ได้ดำเนินการตามข้อตกลงการแพร่กระจายของก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์
รายงานของธนาคารโลกระบุว่า"คนส่วนใหญ่ไม่ได้คำนึงถึงผลที่ตามมาเมื่อร่างกฎหมายดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้ หากสหรัฐดำเนินการตามคำมั่นสัญญาว่าจะลดการแพร่กระจายของก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 17% ก็จะส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มประเทศผู้ผลิตสินค้าที่ต้องใช้พลังงานเป็นหลักลดลงอีก ซึ่งสิ่งนี้จะสะท้อนให้เห็นได้ในยอดส่งออกและผลผลิตที่หดตัวลง โดยคาดว่าผลผลิตของประเทศกลุ่มนี้จะลดลง 4% และยอดส่งออกจะลดลง 12%"
ธนาคารโลกยังกล่าวด้วยว่า "ท้ายที่สุดแล้ว ผลผลิตและยอดส่งออกที่หดตัวลงจะทำให้เกิดการกดดันให้มีการแก้ไขปัญหาเรื่องความสามารถด้านการแข่งขัน ซึ่งประเทศที่จะได้รับผลกระทบในเรื่องนี้หนักสุดคือจีนและอินเดียที่มีเค้าลางว่าจะถูกตั้งกำแพงภาษีสูงถึง 20% แต่ก็จะขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐและสหภาพยุโรป (อียู) จะนำวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าแบบใดมาใช้ หากชาติมหาอำนาจใช้วิธีการคำนวณภาษีที่แตกต่างกันโดยเอาปริมาณการใช้ก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในประเทศตนเองมาเป็นตัวตั้ง ผลกระทบที่ตามมาก็อาจไม่มากนัก" นอกจากนี้ รายงานของธนาคารโลกระบุว่า "กฏหมายลดการแพร่กระจายของก๊าซเรือนกระจกให้ผลสองด้าน ด้านหนึ่งคืออาจทำให้ภาวะโลกร้อนลดลงได้ แต่ผลที่ตามมาคือภาวะหดตัวด้านการค้า ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่ากำแพงภาษีจะส่งผลให้ยอดส่งออกสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐหดตัวลง 20% และยอดส่งออกจากจีนไปยังกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาร่วงลง 8%"
พอล สก็อต ประธานสมาคมอุตสาหกรรมแห่งอเมริกากล่าวว่า ผลกระทบของกฎหมายโลกร้อนที่มีผลต่ออุตสาหกรรมส่งออกจะถูกหยิบยกขึ้นมาเจรจาในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 7 - 18 ธ.ค.นี้ โดยคาดว่าที่ประชุมจะหารือกันเกี่ยวกับขอบข่ายของผลกระทบ และที่น่าสนใจคือจีนและอินเดียจะเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย
ทั้งนี้ สหรัฐนำเข้าสินค้าจากจีนในปี 2551 คิดเป็นมูลค่า 3.38 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆทั่วโลก