ที่ประชุมผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยว่า รัฐบาลของชาติสมาชิกอียูจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปจนกว่าจะมั่นใจว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวเต็วที่
"จากการประเมินสถานการณ์พบว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในกรอบที่จำกัดในปี 2553 ก่อนที่จะขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในปี 2554 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนและเปราะบางมาก ในขณะที่อัตราว่างงานและสภาวะในสังคมมีแนวโน้มย่ำแย่ลงไปจนถึงปี 253 ด้วยเหตุนี้ชาติสมาชิกอียูจึงเห็นชอบให้คงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจจะแข็งแรงเต็มที่" ที่ประชุมผู้นำอียูที่กรุงบรัสเซลล์กล่าวในวันนี้
นอกจากนี้ที่ประชุมยังชี้ด้วยว่า แม้เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอยรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 60 ปี แต่การฟื้นตัวอย่างยั่งยืนนั้นส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลด้วย นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินยูโรและอัตราว่างงานที่สูงขึ้นยังทำให้กระบวนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจตกอยู่ในความเสี่ยง
ที่ประชุมยังกล่าวด้วยว่า ทันทีที่เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นอย่างยั่งยืน รัฐบาลยุโรปควรควบคุมยอดขาดดุลการค้า เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์ซ้ำรอยกับช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันที่ประชุมเรียกร้องให้รัฐบาลกรีซเร่งแก้ไขวิกฤตการณ์การเงินภายในประเทศ และแสดงความกังวลว่ามาตรการฉุกเฉินของรัฐบาลกรีซจะไม่สามารถยับยั้งกระแสความตื่นตระหนกในตลาดได้ เนื่องจากยอดขาดดุลงบประมาณของกรีซมีแนวโน้มจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 12.7% ของตัวเลขจีดีพี
นายโฮเซ่ บาร์รอสโซ่ ประธานคณะกรรมาธิการอียูกล่าวว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของกรีซสะท้อนให้เห็นว่ายุโรปจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมาตรการที่ถูกที่ถูกเวลา อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่ากรีซจะสามารถฟันฝ่าปัญหาดังกล่าวไปได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมอียูยังกำหนดเส้นตายเป็นเวลา 7 สัปดาห์ให้อิหร่านกลับเข้าร่วมการเจรจาเพื่อยุติโครงการนิวเคลียร์ มิฉะนั้นจะต้องถูกคว่ำบาตรในระดับที่รุนแรงขึ้น โดยที่ประชุมมอบหมายให้รัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่มอียูประสานงานกับสหรัฐเพื่อกำหนดวันประชุมกดดันอิหร่านในวันที่ 25-26 ม.ค.2553 นอกเสียจากว่าอิหร่านจะยอมทำตามข้อเรียกร้องของนานาชาติให้ยุติโครงการนิวเคลียร์