นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส (ASP) ในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ผลกระทบจากกรณีมาบตาพุดค่อนข้างรุนแรง และอาจมีผลต่อเนื่องยาวนานไปถึง 10 ปีหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าการลงทุนในประเทศไทยมีความเสี่ยง ตลาดหุ้นไทยก็จะได้รับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"ผมว่าตอนนี้โจทย์สำคัญที่รัฐบาลต้องรีบแก้ไข เพราะตอนนี้สัญญาณต่างชาติเริ่มบอกแล้วว่าประเทศไทยกำลังจะปิดตัวเองขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอ้าแขนรับ และพยายามแต่งตัวเพื่อดึงดูดคนมาลงทุน ถ้าเป็นเช่นนั้นการเติบโตของประเทศจะเป็นไปได้อย่างไร"นายก้องเกียรติ กล่าว
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า เคยออกมาเตือนก่อนหน้านี้แล้วว่าหากการลงทุนในมาบตาพุดต้องชะงักลงไปจะมีผลกระทบกับประเทศไทยแน่นอน เพราะเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าการลงทุนมีความเสี่ยง โครงการที่ได้รับอนุมัติอาจจะถูกระงับ ทำให้การตัดสินใจลงทุนต้องคำนึงถึงความเสี่ยงมากขึ้น หรืออาจจะหันไปลงทุนที่อื่นแทน รวมทั้งโครงการของคนไทยเองก็อาจจะเปลี่ยนไปลงทุนที่อื่นด้วย เพราะเรื่องยังไม่จบและยังมีปัญหาต่อเนื่องอีก ล้วนแต่เป็นต้นทุนของธุรกิจและทำให้ความน่าสนใจลดลง
กรณีนี้ถือเป็นโจทย์สำคัญของผู้บริหารประเทศ เพราะฉะนั้นควรช่วยกันแก้ไขปัญหาหรือหาทางประนีประนอม ซึ่งจากผลจากกรณีมาบตาพุดจะมีผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจปีหน้าและอาจจะกระทบไปอีก 10 ปีข้างหน้าถ้าไม่สามารถแก้ไขออกมาในทางที่ดี ความสามารถการแข่งขันของประเทศจะลดลง เศรษฐกิจไทยเองก็เติบโตเฉลี่ยเหลือปีละ 3% ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่เติบโตปีละ 5-6% ประเทศไทยกำลังถอยหลัง ขณะที่ประเทศอื่นกำลังเดินหน้า
นอกจากการลงทุนโดยตรงจะได้รับผลกระทบแล้ว ทางอ้อมก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย เนื่องจากบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากปัญหามาบตาพุดเป็นบริษัทขนาดใหญ่และมีน้ำหนักในตลาดหุ้นค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นปัจจัยดังกล่าวทำให้มองว่าวอลุ่มในตลาดหุ้นไทยปี 53 มีโอกาสปรับลดลงจากเฉลี่ย 1.8 หมื่นล้านบาท/วันในปีนี้ แต่จะไปเพิ่มในธุรกรรมอื่น ๆ อย่างโกลด์ฟิวเจอร์ส หรือ ตลาดอนุพันธ์(TFEX) เนื่องจากความผันผวนจะกดดันตลาดหุ้นไทยค่อนข้างรุนแรง ซึ่งรวมไปถึงการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และปัญหาการเมือง ขณะที่คาดว่าจะเห็นภาพของบางภาคธุรกิจมีผลประกอบการออกมาน่าผิดหวัง