ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0 - 0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อคืนนี้ (ตามเวลาประเทศไทย) นอกจากนี้ เฟดย้ำว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง และประเมินสภาวะเศรษฐกิจว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ภายหลังจากเฟดมีมติคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุดแล้ว คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุม ซึ่งใจความบางตอนระบุว่า "ข้อมูลที่คณะกรรมการเฟดได้รับเมื่อไม่นานมานี้บ่งชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงขยายตัวต่อเนื่อง และภาวะหดตัวในตลาดแรงงานก็เริ่มบรรเทาลงแล้ว ส่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคขยายตัวขึ้นปานกลาง"
อย่างไรก็ตาม เฟดยอมรับว่าตัวเลขจ้างงานในสหรัฐยังคงติดลบ โดยในเดือนพ.ย.ตัวเลขจ้างงานลดลง 11,000 ตำแหน่ง เนื่องจากภาคธุรกิจยังคงลดการจ้างงานและการลงทุน แต่ถึงกระนั้นก็ตามตัวเลขจ้างงานเดือนพ.ย.ลดลงน้อยกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้เฟดเชื่อว่าภาวะหดตัวในตลาดแรงงานเริ่มบรรเทาลงแล้ว
เฟดยังกล่าวด้วยว่า สภาวะในตลาดการเงินเริ่มส่งสัญญาณในด้านบวก ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการสร้างเสถียรภาพในตลาดการเงินและสถาบันการเงิน รวมทั้งนโยบายการกระตุ้นด้านการเงินและการคลัง ส่วนอัตราการนำทรัพยากรมาใช้นั้นอยู่ในระดับที่สูงขึ้น แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านราคา
ทั้งนี้ เฟดกล่าวว่า แม้เศรษฐกิจเริ่มมีเสถียรภาพ แต่ตัวเลขเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำและอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการเฟดจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 0 - 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีพ.ศ.2552 พร้อมระบุว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวต่อไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืน โดยอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากการกู้ยืมระหว่างกัน
นอกจากนี้ เฟดยังคงนโยบายการเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกันของหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล รวมถึงแฟนนี เม และเฟรดดี แมค วงเงินรวม 1.25 ล้านล้านดอลลาร์ และขยายเวลาการเข้าซื้อตราสารหนี้ของหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล วงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ ไปจนถึงไตรมาสแรกของปีพ.ศ.2553 สำนักข่าวซินหัวรายงาน