ธนาคารกลางฮ่องกงเปิดเผยว่า ราคาสินทรัพย์ในฮ่องกงมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับ "ระยะพักฐานที่รุนแรง" หากเม็ดเงินไหลบ่าเข้าสู่ฮ่องกงมากขึ้น นอกจากนี้ ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ ได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเก็งกำไรในฮ่องกง เนื่องจากการพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงของตลาดหุ้นฮ่องกงได้กระตุ้นให้มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามามากขึ้น
ธนาคารกลางฮ่องกงกล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกงอย่างคึกคักเนื่องจากความเชื่อมั่นที่ว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อฮ่องกงด้วย แต่ธนาคารกลางกังวลว่าหากนักลงทุนมีความรู้สึกอิ่มตัวและถอนเงินลงทุนออกจากฮ่องกง จะส่งผลให้เศรษฐกิจฮ่องกงผันผวนอย่างหนัก และราคาสินทรัพย์ในฮ่องกงจะตกอยู่ในภาวะพักฐานที่รุนแรงทันที
นอกจากนี้ ธนาคารกลางฮ่องกงประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ 0 - 0.25% เมื่อคืนนี้ โดยทิศทางอัตราดอกเบี้ยของฮ่องกงและสหรัฐเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากฮ่องกงยังคงผูกติดสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกงอยู่กับดอลลาร์สหรัฐ
นายนอร์แมน ชาน ผู้ว่าการธนาคารกลางฮ่องกงกล่าวว่า ภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ หรือ asset bubble เป็นภัยคุกคามหมายเลขหนึ่งที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในเอเชีย พร้อมกับแนะนำให้ธนาคารกลางในเอเชียหลีกเลี่ยงการมุ่งเน้นประเด็นเงินเฟ้อมากเกินไป
"จากประสบการณ์ของภูมิภาคเอเชียในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์เป็นภัยคุกคามเศรษฐกิจมากกว่าภาวะเงินเฟ้อ ที่ผมพูดไม่ได้หมายความว่าเอเชียไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลหรือไม่ต้องป้องกันภาวะเงินเฟ้อ แต่ผมคิดว่าเราควรให้ความสนใจเรื่องภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ที่กำลังก่อตัวขึ้นและความเสียหายอันใหญ่หลวงที่จะตามมา" เว็บไซต์ของธนาคารกลางฮ่องกงรายงานคำกล่าวของนายชาน
นายชานยังกล่าวด้วยว่า เม็ดเงินกว่า 6.40 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 8.26 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐที่ไหลเข้าสู่ฮ่องกงตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว ส่งผลให้ราคาบ้านในฮ่องกงพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 ขณะที่นายโดนัลด์ ซัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงกล่าวว่า เขารู้สึกกังวลเรื่องเม็ดเงินจำนวนมากที่ไหลเข้าสู่เอเชียที่เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำในสหรัฐ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้เอเชียเผชิญวิกฤตการณ์การเงินระลอกใหม่