นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลังการหารือกับนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ และคณะผู้บริหารจากกระทรวงพาณิชย์ว่า การที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปีหน้าขยายตัว 14% จากปีนี้นั้น ถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทายมาก แต่หากทำได้จริงก็จะเป็นส่วนช่วยให้เศรษฐกิจปีหน้าขยายตัวเป็นบวกได้มากขึ้น
"การที่รัฐมนตรีกล้าตั้งเป้า 14% ถือว่าท้าทายมาก ผมเองคิดว่าได้ 10% ก็เก่งตายแล้ว แต่คิดว่าการที่ตั้งเป้าไว้สูง ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะคนค้าคนขาย ถ้าตั้งเป้าที่ทำได้ ไม่ท้าทาย ไม่มีใครเขาทำกัน เมื่อท่านกล้าตั้งเป้าหมาย ภาคเอกชนก็กล้าทำ" นายดุสิตกล่าว
ส่วนการที่กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งหัวหน้ากลุ่มสินค้าเป็นรายสินค้า เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ผลักดันการส่งอ อกนั้น ถือว่าเป็นการทำงานที่สอดคล้องกับภาคเอกชน ที่ได้จัดทำยุทธศาสตร์เป็นรายสินค้าเช่นกัน เชื่อว่าเป็นแนวทางทำงานที่ถูกต้อง และมีส่วนช่วยผลักดันการส่งออกให้ดีขึ้นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังเป็นห่วงปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาการเมืองในประเทศที่จะบั่นทอนความเชื่อมั่น และปัญหาการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งหากยังไม่ได้รับการแก้ไขให้เสร็จสิ้นโดยเร็วภายใน 4-5 เดือนนี้ จะส่งผลกระทบต่อการเข้ามาลงทุนในอนาคต และการส่งออกแน่นอน ส่วนเรื่องค่าเงินบาทแข็งค่าไม่ห่วงมากนัก หากค่าเงินบาทไม่แข็งค่ามากกว่าคู่ค้าและคู่แข่ง และภาคเอกชนไม่ได้กำหนดว่าเงินบาทควรจะอยู่ที่เท่าไร แต่ควรจะมีเสถียรภาพ
นายดุสิต กล่าวถึงการทำงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่า รัฐบาลชุดนี้ตั้งใจเข้ามาบริหารประเทศ ดังนั้น แนวทางที่นำมาใช้และมาตรการที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจถือว่ามาถูกทาง เพราะถ้าหากไม่ออกมา ประเทศคงไม่เป็นอย่างนี้ แต่ยังต้องติดตามการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องความโปร่งใส
"ต้องเห็นใจรัฐบาล เพราะปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันรุมเร้าเรามากเกินไป อย่างในประเทศก็มีปัญหาการเมือง แม้จะเริ่มซาลงไปบ้างก็ตาม ซึ่งถ้าทุกคนรักใคร่ ปรองดองกัน ประเทศก็อยู่ต่อไป ถ้าให้คะแนนรัฐบาล ผมให้ B เพราะใครก็ตามที่เข้ามาบริหารประเทศในสถานการณ์อย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนผลงานจะหวังผลเลิศทั้งหมดก็ไม่ได้ แต่ที่สำคัญ เรื่องความโปร่งใส ซึ่งจะเป็นตัวชี้ว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ต่อไปได้หรือไม่ได้"นายดุสิต กล่าว