นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะเติบโต 3.5% จากภาคการส่งออกและท่องเที่ยวผลักดัน แต่ยังกังวลปัญหาระงับ 65 โครงการที่มาบตาพุดจะกระทบกับภาวะเศรษฐกิจ รัฐบาลก็จะพยายามเร่งให้เกิดความชัดเจน
"ผมคิดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ(ปีหน้า)จะเกิดขึ้นแน่นอน ผมไม่อยากตั้งไว้สูงเกินไป เอาเป็นว่า ร้อยละ 3.5 ก็คิดว่าน่าทำได้ สิ่งที่เราต้องดูแลต่อไปคือเรื่องการส่งออก และการท่องเที่ยว ...ปีหน้า(การส่งออก)จะเริ่มกลับมาเป็นบวกได้ จากปีนี้ที่คาดว่าจะติดลบร้อยละ 13 เพราะการส่งออกเมื่อเทียบกับรายได้ของประเทศคิดเป็นประมาณ 60%ขึ้นไป" นายอภิสิทธิ์ กล่าวในรายการ"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์"
นายกรัฐมนตรี คาดว่าในปี 52 จะมีตัวเลขการนักท่องเที่ยวใกล้เคียง 14 ล้านคน จะเห็นว่านักท่องเที่ยวเข้ามาต่อเนื่องแต่แนวโน้มการเข้ามาอยู่ระยะสั้นลง ใช้เงินน้อยลงซึ่งเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าถ้าเหตุการณ์บ้านเมืองเรียบร้อยในปีหน้าการท่องเที่ยวก็ยังเดินหน้าต่อได้ ขณะเดียวกันอัตราว่างงานก็ลดลงเหลือ 4.1 แสนคน หรือคิดเป็นอัตรา 1.2%
ส่วนเรื่องกรณีมาบตาพุด นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ากระทบเศรษฐกิจบ้าง และที่ตนให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ต้องเร่งให้มีความชัดเจน เพราะไม่ใช่เพียง 65 โครงการที่ศาลฯระงับไป ยังมีอีกหลายโครงการที่รอและตัดสินใจอยู่ และเห็นภาคอุตสาหกรรมต้องยอมรับเรื่องการตรวจสอบมาตรฐาน และการเสียเวลาตรวจสอบ อย่างไรก็ตามก็ทำให้เกิดความแน่นอน จากที่รัฐบาลเข้าใจกฎหมายไม่ตรงกันกับดุลยพินิจของศาล
ทั้งนี้ จะมีร่วมเข้าประชุมกับคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมในวันที่ 24 ธ.ค.นี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการแถลงผลงานรัฐบาลในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ ว่า แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนแรกภาพใหญ่ 1 ปีที่ผ่านมาบ้านเมืองเดินไปในทิศทางใด พร้อมย้ำรัฐบาลเข้ามาทำงานภายใต้วิกฤตซ้ำซ้อน คือทั้งวิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตการเมือง แต่รัฐบาลยังสามารถบริหารงานได้ โดยเดินหน้าผลักดันนโยบายและแก้ปัญหาของประชาชนได้ อีกทั้ง 1 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นว่า รัฐบาลสามารถผลักดันกฎหมายสำคัญและกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศได้หลายฉบับหากเทียบกับปีอื่นๆ
อีกทั้ง รัฐบาลยังได้แก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ โดยมั่นใจไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ตัวเลขเศรษฐกิจที่ติดลบจะเป็นบวกแน่นอน และตัวเลขการว่างงานจะลดน้อยลง ส่วนนโยบายทั้งระยะสั้นและระยาวนั้น ได้ดำเนินนโยบายพื้นฐานหลายเรื่องแล้ว เช่น โครงการเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นต้น
"ระบบสวัสดิการจะต้องมีความชัดเจนมากขึ้น เราพยายามจะอุดช่องว่างกับคนที่ไม่มีหลักประกันในประเทศไทย ไม่ใช่ว่าผลักภาระมาที่รัฐบาลอย่างเดียว" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงปัญหาการเมืองในขณะนี้ว่า รัฐบาลได้พยายามแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ แต่การแก้ปัญหาจะประสบผลสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ายด้วย