นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การส่งออกในเดือน พ.ย.52 กลับมาขยายตัวเป็นบวกเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ 17.21% โดยมีมูลค่า 16,840 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าลดลง 2.2% โดยมีมูลค่า 12,782 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เกินดุลการค้าราว 1 พันล้านดอลลาร์
"เป็นครั้งแรกในรอบปีที่การส่งออกขยายตัวเป็นบวก ถือว่าการส่งออกปีนี้ไปได้ดีและผ่านปัจจัยลบเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนไปได้แล้ว ส่วนเดือนธันวาคมคาดว่าการส่งออกจะอยู่ที่ระดับ 13,000 ล้านดอลล์ ส่งผลให้ทั้งปี 52 การส่งออกจะติดลบ 15 เปอร์เซ็นต์"นางพรทิวา กล่าว
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การส่งออกขยายตัวในทุกหมวดสินค้า โดยสินค้าเกษตร-อุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัว 28.6% ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง กุ้งแช่แข็งและแปรรูป น้ำตาล ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 13.2% ได้แก่ เครื่องไช้ไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องสำอาง สิ่งพิมพ์ ขณะที่ตลาดส่งออกสำคัญขยายตัวทั้งในส่วนของตลาดหลักและตลาดใหม่ โดยในตลาดหลักกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกที่ 5.9% ส่วนตลาดใหม่ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ 29.9% ได้แก่ จีน ออสเตรเลีย ฮ่องกง อินโดจีน อินเดีย และไต้หวัน
สำหรับการส่งออกในช่วง 11 เดือนแรก(ม.ค.-พ.ย.)ของปีนี้ขยายตัวลดลง 16.9% โดยมีมูลค่า 137,957 ล้านดอลลาร์ ส่วนการส่งออก ลดลง 28.9% โดยมีมูลค่า 119,376 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เกินดุลการค้ารวม 18,578 ล้านดอลลาร์
รมว.พาณิชย์ คาดว่า การส่งออกในปี 52 จะขยายตัวติดลบ 15% โดยมีมูลค่าราว 1.5 แสนล้านดอลลาร์ และการส่งออกในเดือน ธ.ค.52 จะมีมูลค่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนในปี 53 คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวที่ระดับ 10-15% โดยมีมูลค่า 1.7 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ระดับ 32-33 บาท/ดอลลาร์ และจะขยายตัวเป็นบวกตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรก
ส่วนปัญหาและอุปสรรคของการส่งออกในปีหน้า ได้แก่ ความกังวลของผู้ส่งออกเกี่ยวกับนโยบายด้านการลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะกรณีปัญหามลพิษในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง, ปัญหาการเมืองในประเทศ และปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน
ด้านนางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า สินค้าส่งออกดาวรุ่งในปี 53 ได้แก่ สินค้าเกษตร สินค้าอาหาร สินค้าเกษตรแปรรูป เนื่องจากมีความต้องการในตลาดโลกสูงเพราะความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ
สำหรับภาวะการส่งออกทั่วโลกในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา จีนขยายตัวติดลบ 1.2% ญี่ปุ่นติดลบ 7.2% เกาหลีใต้โต 18.1% ไต้หวันโต 19.4% และเวียดนามโต 11.4%