ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยเอมิเรตส์ บิสิเนส ระบุว่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ (GCC) จะขยายตัวอย่างรวดเร็วในปีหน้า เนื่องจากราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
จากการสำรวจความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ 25 บริษัทในยูเออีพบว่า เจ้าหน้าที่มีมุมมองที่เป็นบวกเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเชื่อว่าการที่เศรษฐกิจในกลุ่ม GCC จะชะลอตัวลงได้นั้นมีเพียงเหตุผลเดียวคือราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง
ก่อนหน้านี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) ของกระทรวงพลังงานสหรัฐ คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมัน WTI (West Texas Intermediate) ในตลาดสปอตจะลดลงแตะระดับ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนก.พ.นี้ และจากนั้นจะดีดตัวขึ้นแตะระดับ 82 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงปลายปีหน้า
ราคาน้ำมันดิบ WTI โดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 78 ดอลลาร์/บาร์เรลในเดือนพ.ย. มากกว่าระดับเฉลี่ยในเดือนต.ค.ราว 2 ดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเทรดเดอร์มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกและดีมานด์พลังงานทั่วโลกจะฟื้นตัวขึ้น
ขณะที่ Economist Intelligence Unit (EIU) ของอังกฤษคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น 21% แตะที่ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีหน้า จากระดับ 62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีนี้
นายจีแยส โคห์เคนท์ หัวหน้านักวิเคราะห์จากเนชั่นแนล แบงค์ ออฟ อาบูดาบีกล่าวว่า "เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มพุ่งขึ้นอีกในปีหน้าเมื่อเทียบกับปีนี้ ซึ่งหมายความว่าตัวเลขจีดีพีของทุกประเทศในกลุ่ม GCC จะขยายตัวขึ้นในปีหน้า"
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กลุ่ม GCC ก่อตั้งขึ้นในปี 2524 ซึ่งประกอบไปด้วย บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย และยูเออี โดยกลุ่ม GCC มีแหล่งสำรองน้ำมันถึงร้อยละ 45 ของแหล่งสำรองน้ำมันทั่วโลก