ผู้ว่า ธปท.เผยยังไม่จำเป็นใช้นโยบายดอกเบี้ยดูแลเงินเฟ้อที่แนวโน้มเร่งตัว

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday December 22, 2009 10:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อแม้ว่าจะมีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้น เนื่องจากแม้จะเร่งตัวขึ้นในปีหน้า แต่ก็ไม่หมายความว่าจะกลายเป็นปัญหาต่อภาวะเศรษฐกิจ เพราะเป็นการเทียบกับฐานที่ต่ำในปีนี้ และหากดูตามข้อเท็จจริงแล้ว อัตราเงินเฟ้อสูงชึ้นเพราะเศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้นด้วย

ส่วนการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อจะไปถึงขั้นเป็นปัญหาหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ ธปท.จะต้องติดตามดู ซึ่งการจะใช้นโยบายดอกเบี้ยมาดูแลหรือไม่ต้องพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)แต่ละครั้ง เพราะแม้เงินเฟ้อจะสูงขึ้นแต่ก็ไม่ใช่ว่าดอกเบี้ยจะสูงขึ้นตามไปด้วยทันที กนง.ก็จะต้องดูว่าเงินเฟ้ออยู่ภายใต้กรอบเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม สำหรับการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำไปนานจะทำให้ธปท.เกิดความกังวล 2 เรื่อง คือ อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น และเกิดภาวะฟองสบู่ ซึ่งทั้งสองเรื่องก็จะมีการติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นแนวโน้มการเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

นางธาริษา กล่าวอีกว่า การปล่อยสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ในปีหน้าคงจะยังไม่เติบโตไปเป็น 2 หลัก ซึ่งการที่สินเชื่อจะเติบโตมากหรือน้อยขึ้นกับการกระตุ้นของภาครัฐว่าจะสำเร็จหรือไม่ และต้องทำให้เอกชนมารับไม้ต่อให้ได้ โดยจะต้องทำให้เอกชนเกิดความมั่นใจว่าเป็นจังหวะเวลาที่ควรจะลงทุนได้แล้ว เมื่อมีความมั่นใจสินเชื่อก็จะเติบโตตามมา

ขณะที่การส่งออกล่าสุดที่กระทรวงพาณิชย์แถลงว่าเติบโต 17.2% ในเดือน พ.ย.52 ถือเป็นครั้งแรกที่บวกขึ้นมาเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ถ้าเทียบเดือนต่อเดือนก็เป็นบวกมานานแล้ว และในปีหน้าเมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 52 ก็คาดว่าส่งออกจะขยายตัวเป็นบวกราว 10-15% โดยปัจจัยค่าเงินบาทเป็นแค่หนึ่งในหลาย ๆ ปัจจัย ยังมีเรื่องอื่น ๆ เช่น ความสามารถการแข่งขัน และภาวะต้นทุน

นางธาริษา กล่าวว่า ผลงาน 1 ปีของรัฐบาล ขณะนี้ปัญหาที่ต้องติดตามคือการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2(SP2) ว่าโครงการต่าง ๆ จะดำเนินต่อไปได้หรือไม่ และทำได้ตามเป้าหมายได้หรือไม่ ถ้าไม่เป็นไปตามเป้าหมายก็เสี่ยงกับเศรษฐกิจไทย เพราะเราคาดว่า SP2 จะมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นด้วย และยังหวังว่าโครงการเหล่านี้จะไปกระตุ้นภาคการผลิตในระยะยาว เพื่อหวังให้กระทรวงการคลังสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้นและนำมาลดหนี้ ก็เป็นสิ่งที่ต้องติดตาม

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจขณะนี้ปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นด้วย ส่วนอีกทางหนึ่งก็มีการใช้จ่ายในประเทศเข้ามา ตอนนี้ทุกประเทศหายใจแบบโล่งอก คือการใช้จ่ายในประเทศของแต่ละประเทศดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจโลกดีขึ้น ส่วนปัญหาดูไบไม่มีผลกระทบต่อไทยเลย เพราะสถาบันการเงินไนทยเข้าไปลงทุนเพียง 0.08% ของสินทรัพย์รวมเท่านั้น และภาคธุรกิจไทยก็เข้าไปเกี่ยวข้องน้อย

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมกนง.ช่วงเดือน ม.ค.53 จะมีการพิจารณาทบทวนผลกระทบจากกรณีปัญหามาบตาพุดที่มีต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย(GDP)ในปีหน้าด้วย เพราะจากการประเมินครั้งก่อนยังไม่มีความชัดเจนว่าโครงการใดต้องถูกระงับการลงทุนไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ