ทางการจีนคาดยอดส่งออกของประเทศอาจเผชิญภาวะตกต่ำนานต่อเนื่อง จากปัจจัยลบของอุปสงค์ในตลาดโลกที่อาจซบเซาเป็นเวลานาน ท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในต่างประเทศที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงในเร็ววันนี้
หลิว หมิงกัง ประธานคณะกรรมาธิการกำกับดูแลภาคธุรกิจธนาคารเชื่อว่า การใช้นโยบายกีดกันทางการค้าจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งจะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อภาคธุรกิจส่งออกต่อไปอีก แต่ภาวะตกต่ำของภาคธุรกิจส่งออกจะกระตุ้นให้รัฐบาลเดินหน้าใช้นโยบายปฏิวัติโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า อัตราการนำเข้าและส่งออกของประเทศมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.96 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลง 17.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะยอดส่งออกที่ทรุดตัว 18.8%
"การปรับโครงสร้างในบางภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกเป็นสำคัญนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ในยามที่ภาพรวมอุปสงค์ในตลาดโลกหดตัวลง" หลิวกล่าว
นอกจากนี้ หลิวกล่าวเสริมว่า จีนได้กระตุ้นการใช้พลังงานอย่างคุ้มค้าและส่งเสริมการใช้นวัตกรรมทางเทคนิค ตลอดจนพัฒนาเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2563 ลง 40-45% ต่อหน่วยผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จากระดับในปี 2548
"การพัฒนาเศรษฐกิจที่เพิ่มความใส่ใจต่อสภาพแวดล้อมถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วน ขณะที่การพัฒนาความเป็นเมืองและระบบเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมก็เป็นความท้าทายใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน" หลิวกล่าวทิ้งท้าย