บริษัท อาร์เซลอร์มิตตาล (ArcelorMittal) ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก วางแผนเข้าซื้อกิจการเหมืองแร่มากขึ้นในปี 2553 เพื่อกระตุ้นซัพพลายสินแร่เหล็ก เนื่องจากราคาสินแร่เหล็กที่ใช้ผลิตโลหะมีแนวโน้มดีดตัวขึ้น
นายบิล สก็อตติ้ง ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนของอาร์เซลอร์มิตตาลกล่าวว่า บริษัทวางแผนเข้าซื้อกิจการเหมืองแร่มากขึ้นในปีหน้า รวมทั้งจะขยายและพัฒนาโครงการเหมืองเพื่อให้อาร์เซลอร์มิตตาลมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งจนถึงขณะนี้ซัพพลายสินแร่เหล็กของอาร์เซลอร์มิตตาลมีอยู่ราวครึ่งหนึ่งของดีมานด์ทั่วโลก และทางบริษัทวางแผนที่จะเพิ่มซัพพลายเป็น 75 - 85% ภายในปี 2557
นายลักษมี มิตตาล ซีอีโอและผู้ถือหุ้น 41% ของอาร์เซลอร์มิตตาล ได้รุกซื้อสินทรัพย์ด้านเหมืองแร่ในบราซิลและรัสเซีย นับตั้งแต่บริษัท มิตตาล สตีล เข้าซื้อกิจการอาร์เซลอร์ เอสเอ ในปี 2549 ซึ่งเป็นการเทคโอเวอร์กิจการครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมเหล็กของโลก ทั้งนี้ คาดว่ายุทธศาสตร์ของนายลักษมีอาจขยายผลไปจนถึงปีหน้าเนื่องจากราคาสินแร่เหล็กและถ่านหินโค๊กเริ่มดีดตัวขึ้น
ราคาหุ้นอาร์เซลอร์มิตตาล พุ่งขึ้นไปแล้ว 83% ในปีนี้ ทำให้มูลค่าของบริษัทอยู่ที่ระดับ 4.85 หมื่นล้านยูโร หรือ 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ อาร์เซลอร์มิตตาลสามารถผลิตสินแร่เหล็กได้ 37.1 ล้านเมตริกตันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 หลังจากบริษัทเดินหน้าโครงการในหลายประเทศ รวมถึงบราซิล ไลบีเรีย และเซเนกัล
อย่างไรก็ตาม หนี้สินของอาร์เซลอร์มิตตาลพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.25 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย.2551 หลังจากบริษัทเข้าซื้อสินทรัพย์ในรูปของเหมืองแร่และโรงงานถลุงเหล็กในบราซิลและรัสเซีย และเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ราคาเหล็กตกต่ำในช่วงไตรมาส 4 ปีที่แล้ว อาร์เซลอร์มิตตาลจำเป็นต้องลดการผลิตลงถึง 50% และเลิกจ้างพนักงาน 9,000 คนทั่วโลก
วิกฤตการณ์การเงินส่งผลให้อาร์เซลอร์มิตตาลต้องระดมทุนมูลค่า 1.14 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ เพื่อให้โครงการต่างๆดำเนินไปอย่างคล่องตัว และ ณ วันที่ 30 ก.ย.ปีนี้ หนี้สินสุทธิของอาร์เซลอร์มิตตาลมีอยู่ทั้งสิ้น 2.16 หมื่นล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์จากโนมูระคาดการณ์ว่า ราคาสินแร่เหล็กจะพุ่งขึ้น 30% ในปีหน้า หลังจากดิ่งลงอย่างหนักถึง 33% ในปีนี้ และคาดว่าราคาถ่านหินโค๊กจะพุ่งขึ้น 40% ในปีหน้า