นายจู เจียนฟาง หัวหน้านักวิเคราะห์จากซิติก ซิเคียวริตีส์ คาดการณ์ว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนในปีหน้าจะขยายตัวแข็งแกร่งถึง 12% ทำให้จีนมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อมากขึ้น นอกเสียจากว่าธนาคารกลางจีนจะตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย
"ปัจจัยที่จะทำให้จีดีพีของจีนขยายตัวสูงถึง 12% มาจากยอดส่งออกและตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปีหน้า อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจที่ขยายตัวขึ้นอย่างร้อนแรงเช่นนี้อาจทำให้ธนาคารกลางจีนตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยราว 0.27 - 0.54% จากระดับปัจจุบันที่ 5.31% เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ" นายจูกล่าว
เศรษฐกิจจีนขยายตัวขึ้นนับตั้งแต่รัฐบาลจีนใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 5.83 แสนล้านดอลลาร์ และธนาคารภายในประเทศปล่อยวงเงินกู้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 9.2 ล้านล้านหยวน หรือ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อทั้งในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตทะยานขึ้นไปแล้ว 67% ในปีนี้ ขณะที่ราคาบ้านใน 70 เมืองใหญ่ๆของจีนพุ่งช่วงเดือนพ.ย.ขึ้นรวดเร็วที่สุดในรอบ 16 เดือน
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนจะพุ่งขึ้น 11%ต่อปี ในปีนี้ เพราะได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมของจีนได้รับความผ่อนคลายจากปัญหาอัตราการชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า การขยายตัวในภาคอุตสาหกรรมจะอยู่ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และคาดว่านโยบายเศรษฐกิจมหภาคจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เคลื่อนไหวอย่างสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานมากขึ้นในปีหน้า
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนได้ให้คำมั่นว่าจะยังคงใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างงาน รักษาเสถียรภาพทางสังคม และเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศที่ชื่อได้ว่ามีอัตราการขยายตัวเร็วที่สุดในโลก