(เพิ่มเติม) นายกฯ แถลงผลงานก้าวผ่านวิกฤติ ศก.-นำสังคมพ้นประชานิยม รับการเมืองยังเสี่ยง

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 23, 2009 15:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกรัฐมนตรี แถลงผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปี โดยยืนยันว่าเศรษฐกิจของไทยได้ฟื้นขึ้นเป็นรูปตัว V แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายใต้ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลก และเป็นจุดที่ทำให้รัฐบาลมีความมั่นใจมากขึ้นในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจระยะต่อไป ขณะที่ผลงานรัฐบาลหลายด้านที่สำเร็จเป็นรูปธรรม ทั้งการลดจำนวนคนว่างงาน และการเปลี่ยนผ่านระบบประชานิยมก้าวเข้าสู่รัฐสวัสดิการอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ดี แม้หลายนโยบายของรัฐบาลจะสามารถเห็นผล เช่น เรียนฟรี 15 ปี, การลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน, ชุมชนพอเพียง ตลอดจนระบบสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้มีรายได้น้อย แต่สิ่งที่ยอมรับว่ายังไม่พอใจผลการแก้ไขปัญหา คือ ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในโครงการของภาครัฐ ที่รัฐบาลจะเดินหน้าตรวจสอบในทุกโครงการที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม

นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ในปี 53 ยังมี 3 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ คือ ราคาน้ำมันในตลาดโลก, ความเปราะบางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาการเมืองในประเทศ

*เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้นเป็นตัว V เดินหน้าสู่รัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงว่า ช่วงที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศอยู่ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจ แต่จากนโยบายการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยจะเห็นได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มติดลบน้อยลง การฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวมากขึ้น จนทำให้เศรษฐกิจในขณะนี้ฟื้นตัวเป็นรูปตัว V อย่างชัดเจน

และที่สำคัญคือการลดลงของจำนวนผู้ว่างงานจาก 7-8 แสนคนในช่วงต้นปี 52 ลงมาอยู่ที่ 4 แสนคนในขณะนี้ หรือมีอัตราการว่างงานไม่เกิน 1.2% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งถือเป็นระดับปกติเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจทั่วไป

"ผมมีความภาคภูมิใจ เพราะไปประชุมต่างประเทศบ่อย ตัวเลขที่ผู้นำรัฐบาลทุกประเทศเวลาพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจ พอพูดเรื่อง GDP เสร็จก็ต้องมาพูดเรื่องตัวเลขปัญหาการว่างงาน และพอเขารับทราบว่าของเราลดลงมาหลายเดือนแล้วอยู่ในระดับที่ต่ำ แทบจะเรียกว่าเทียบเคียงกับอัตราปกติ เขายอมรับว่านั่นคือความสำเร็จในการฟันฝ่าปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในรอบนี้" นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอนหนึ่งในการแถลงผลงานในรอบ 1 ปี ภายใต้แนวคิด"ประเทศเดินหน้า ประชาเป็นสุข"

*รัฐบาลผลักดันให้ระบบการเมืองทำงานได้ แม้ความขัดแย้งยังไม่หมดไป

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลสามารถผลักดันให้ระบบการเมืองทำงานได้ ท่ามกลางปัญหาทางการเมืองทั้งในและนอกสภาผู้แทนราษฎร โดยดูได้จากผลงานด้านนิติบัญญัติที่มีมากกว่าในอดีต

"แน่นอนครับไม่ได้ราบรื่น ประชาชนทราบว่าสภาประชุมด้วยความขลุกขลักพอสมควร และผมก็ไม่มีข้อแก้ตัวให้คนขาดประชุม แต่สิ่งที่ยืนยันได้คือการบริหารจัดการในภาพรวมของรัฐบาลนั้นทำให้ระบบรับสภาทำงานได้ เดินหน้าได้ แก้ไขปัญหาได้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองเป็นผู้ให้ความสำคัญกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพราะไปตอบกระทู้ถามสดด้วยตัวเอง เปิดโอกาสให้มีการถ่ายทอดสดเพื่อให้เป็นวาระของฝ่ายค้านในการนำเสนอต่อประชาชนได้ว่ามาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล

"เท่าที่ทราบยังไม่มีใครไปตอบกระทู้ถามสดมากเท่านี้ และไม่มีรัฐบาลไหนผ่านกรอบข้อตกลงต่างๆ ผ่านที่ประชุมร่วมของรัฐสภามากเท่านี้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

*นายกฯ ยังไม่พอใจผลงานแก้ปัญหาความไม่สงบภาคใต้-ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น

นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ยังไม่พอใจผลงานการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาทุจริต คอรัปชั่น โดยในส่วนของปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีการตั้ง ครม.ภาคใต้ ขึ้นมาดูแลเป็นการเฉพาะ, เดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ, จัดสรรงบประมาณลงไปในพื้นที่, ปรับแนวทางการบังคับใช้กฎหมายให้เหมาะสมกับสถานการณ์, มาตรการเยียวยา, เตรียมจัดตั้ง ศอบต. ขึ้นมาเป็นองค์กรดูแล ซึ่งกฎหมายยังค้างอย่ในรัฐสภา

"ถ้าดูตัวเลขสถิติของ 1 ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ความรุนแรงนั้นลดลงเพียงเล็กน้อย ผมได้พูดไปแล้วว่าไม่ได้พอใจ แต่ถือว่าเป็นความต่อเนื่องของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ดูแลให้สถานการณ์มีความรุนแรงน้อยลง" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ส่วนการแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นนั้น รัฐบาลมีมาตรฐานความรับผิดชอบและเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวชัดเจน เช่น กรณีปลากระป๋องเน่าของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, กรณีโครงการชุมชนพอเพียงเมื่อพบปัญหาก็ปรับเปลี่ยนผู้บริหารใหม่ทั้งหมด, กรณีโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างตรวจสอบ รวมไปถึงโครงการอื่นๆ ที่มีข้อครหาด้วย

"ผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และจะแสวงหามาตรการและความร่วมมือเพิ่มเติมในการสร้างความโปร่งใสและลดปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในรัฐบาล" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความพึงพอใจให้แก่รัฐบาลมากที่สุด คือ ดัชนีความสุขของคนไทยทั้งประเทศที่มีผลสำรวจออกมาแล้วว่าในเดือน ธ.ค.52 คนไทยมีความสุขมากที่สุดในเดือนมหามงคลนี้ แต่หากไม่นับตัวเลขนี้ดัชนีความสุขของคนไทยภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลนี้ยังสูงกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งๆ อยู่ภายใต้ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจและแรงกดดันทางการเมือง ดังนั้นจึงถือว่าเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญและควรปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

*นายกฯ ยืนยันฟื้นฟูความสัมพันธ์ในระดับประชาชนไทย-กัมพูชาให้เป็นปกติ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในทุกประเทศมีความเป็นปกติดี ส่วนความสัมพันธ์กับกัมพูชาที่สังคมมองว่ายังมีปัญหาขัดแย้งกันนั้น ยืนยันว่าตลอด 1 ปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์อยู่ในระดับปกติจนกระทั่งมีการสร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้น คือ การแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา, การปฏิเสธส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในไทย และการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรม และการเมืองภายในของไทย

สิ่งเหล่านี้ทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยอยู่ในระดับปกติเริ่มเสื่อมลง แต่การเสื่อมลงนี้ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นเพราะการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลจะพยายามรักษาความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศไว้โดยไม่ให้ส่งผลกระทบในระดับประชาชนของไทยและกัมพูชา

"1 ปีที่ผ่านมากล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาอยู่ในระดับปกติ จนเกิดมีการสร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้น เช่น การตั้งที่ปรึกษา, การไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดน และการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองและระบบยุติธรรมของไทย ปัญหาความสัมพันธ์จึงเกิดขึ้น แต่ไม่ได้เกิดเพราะรัฐบาลเข้ามาแล้วทำให้ความสัมพันธ์เสื่อมลง" นายกรัฐมนตรี กล่าว

*เร่งไทยเข้มแข็งเต็มที่ดันเศรษฐกิจ H1/53 หนุนเอกชนสานต่อเดินหน้าลงทุน

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ในปีหน้าเมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้น และการแสวงหาทางออกทางการเมืองยังคงมีอยู่ต่อไปนั้น ก้าวต่อไปสำหรับการทำงานของรัฐบาล คือ การเดินหน้าลงทุนผ่านโครงการไทยเข้มแข็งที่จำเป็นต้องเดินหน้าต่อเต็มที่ โดยมั่นใจว่าแผนงานนี้จะเป็นตัวที่ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงในการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ขณะที่ครึ่งปีหลังจะพยายามให้การลงทุนของภาคเอกชนเข้ามารับลูกต่อ

อย่างไรก็ดี ในปีหน้ายังคงมี 3 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คือ ราคาน้ำมัน, ความเปราะบางของเศรษฐกิจโลก และปัญหาการเมืองในประเทศ ทั้งนี้ยอมรับว่าในช่วงการทำงานของรัฐบาลตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ได้พยายามบริหารสถานการณ์ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งทางความคิด โดยมีเป้าหมายที่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

ส่วนกรณีที่ผลสำรวจความคิดเห็นของแต่ละสำนักต่อผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปี ออกมาทั้งในส่วนที่เห็นว่าสอบผ่านและสอบตกนั้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติ พร้อมขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และเห็นว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายในขณะที่เราเดินฝ่าวิกฤติที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลก และเริ่มฟื้นภาพลักษณ์ของประเทศมาได้ไกลขนาดนี้ หากจะเกิดปัญหาความขัดแย้งรุนแรงขึ้นอีกในประเทศ เพราะสิ่งต่างๆ ที่ทำมาเป็นปีจะสูญหาย ซึ่งกล้าบอกได้ว่าประเทศไทยไม่ได้รับโอกาสในการแก้ตัวบ่อยนัก และอาจไม่ได้รับโอกาสอีกเลยหากเราทำลายความเชื่อมั่นของประเทศของเราเอง

"ผมยืนยันว่า 1 ปีที่ผ่านมา ประเทศเดินหน้า ประชาเป็นสุข อาจจะยังไปไม่ได้ไกลอย่างที่หลายคนคาดหวัง และผมเองก็ยังไม่พอใจที่จะหยุดอยู่เท่านี้ แต่อยากให้พี่น้องประชาชนช่วยกัน เราจะเดินต่อไปข้างหน้า จะช้าหรือเร็ว เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาบ้าง แต่ช่วยกันทำให้ประเทศและประชาชนของเราได้รับความเจริญก้าวหน้า น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด" นายกรัฐมนตรี กล่าว

ในปี 53 รัฐบาลมีแผนงานด้านเศรษฐกิจสำคัญ 10 เรื่อง ได้แก่ การลงทุนเพิ่มเติมตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จำนวน 2 แสนล้านบาท, การจัดตั้งกองทุนเงินออมเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตของประชาชน, การเร่งรัดออก พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม, การจัดตั้งธนาคารที่ดิน เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง, การเร่งรัดโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ,

การเร่งรัดให้ทุกครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้ด้วยการสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานทดแทน, การเร่งรัดออก พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพและส่งเสริมมาตรฐานของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน, การลงทุนและพัฒนาระบบขนส่งมวลชนด้วยระบบราง โดยเฉพาะโครงการรถไฟรางคู่, การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายสินค้าและลดต้นทุน การส่งเสริมและพัฒนาพลังงงานทดแทนทุกรูปแบบ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ